สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังคุกรุ่นจากเหตุร้ายที่เกิดกระจายในทุกจังหวัด ทั้งที่อยู่ในห้วงเวลาถือศีลอด หรือเดือนรอมฏอน กำลังท้าทายความสามารถของแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ อย่างหนัก
แม้จะเข้ามารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ได้เพียง 5 เดือนเศษ แต่ก็เป็น 5 เดือนที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่อเนื่อง และทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในด้านการเมือง พล.ท.ไพศาล ยังต้องรับมือการรุกจาก 2 ส.ส. 2 พรรคจากฝ่ายค้าน ทั้ง รอมฏอน ปันจอร์ พรรคประชาชน และ กัณวีร์ กัณแสง จากพรรคเป็นธรรม
นอกจากนี้ยังต้องรองรับความเคลื่อนไหวเชิงรุกจาก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่มาในสถานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ซึ่งแต่งตั้งโดย อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
แน่นอนว่า เมื่อ ทักษิณ ประกาศขณะลงพื้นที่ว่า ไฟใต้จะดับลงภายใน 2 ปี ความกดดันก็พุ่งเป้าไปยัง พล.ท.ไพศาล อีกระลอกเช่นกัน
ล่าสุด พล.ท.ไพศาล ยังเจอมือมืดกระจายข่าวลงในโลกโซเชี่ยล ตั้งประเด็นเป็นแม่ทัพ IO โดยกล่าวหาว่า กองทัพภาคที่ 4 ยุคแม่ทัพไพศาล มักจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปกดดันให้ประชาชนออกมาถือป้ายต่อต้านความรุนแรง และใช้ IO ใส่ร้ายผู้ที่เห็นต่าง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะต่างรูปแบบ แต่ทุกรูปแบบล้วนมีเป้าหมายตรงกัน คือ เขย่าเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 4 และเป็นปฏิบัติการเขย่าขาเก้าอี้ ที่บังเอิญเกิดขึ้นในห้วงเวลาของการโยกย้ายนายทหารกลางปี โดยไม่รอถึงการโยกย้ายปลายปีในเดือนกันยายน
สถานการณ์ของ พล.ท.ไพศาล เมื่อลงส่องไปรอบตัวในกองทัพภาคที่ 4 ยิ่งเห็นชัดว่า แม่ทัพไพศาลค่อนข้างโดดเดี่ยว และมีทีมงานที่ไว้วางใจได้น้อยมาก
พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อตุลาคม 2567 โดยมีคู่แคนดิเดตเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.25 คือ พล.ท.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ และรุ่นน้อง ตท.27 พล.ต.วรเดช เดชรักษา รองแม่ทัพภาคที่ 4
ครั้งนั้น แม่ทัพไพศาล ฝ่าด่านขึ้นมาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ด้วยผลงาน และประสบการณ์งานภาคสนามที่อยู่กับพื้นที่มาตั้งรับราชการครั้งแรก
แต่การเป็นแม่ทัพที่รายล้อมด้วยรองแม่ทัพ 3 คน ต่างรุ่น ต่างที่มา คือ รองอ้วน พล.ต.วรเดช เดชรักษา ตท.27 พล.ต.อนุสรณ์ โออุไร ตท.26 และรองคิ้ว พล.ต.ชาคริต อุจะรัตน์ ตท. 28 ทำให้การทำงานค่อนข้างไม่ลงตัว
แม้รองอ้วนและรองอนุสรณ์ จะเป็นรุ่นน้องที่เติบโตตามกันมาในกองทัพภาคที่ 4 แต่สถานะความเป็นแคนดิเดต ที่สามารถขยับขึ้นเป็นแม่ทัพได้ทั้งคู่ ก็ดูเหมือนมีช่องว่างระหว่างกันที่มีระยะห่างพอสมควร
พล.ต.วรเดช หรือ บิ๊กอ้วน เป็นนายทหารที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ถึง 3 รุ่น ทั้ง ’บิ๊กเมา‘ พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ‘บิ๊กเดฟ’ พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และ ’บิ๊กเกรียง‘ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ทั้งยังมีพี่ชายที่มีสถานะเป็นลูกพี่ ลูกน้องใกล้ชิดอย่าง พล.ต.อ.สุเทพ เดชรักษา อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ รองอ้วน อยู่ในสถานะที่พร้อมเป็นแคนดิเดตสำคัญในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 หากมีการขยับเปลี่ยนแปลง
โดยเฉพาะเมื่อ ทักษิณ ประกาศจะดับไฟใต้ให้จบใน 2 ปี แน่นอนว่า หากทำได้ ทักษิณย่อมต้อการแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ไว้ใจได้ และสามารถทำงานกับภาคการเมืองของพรรคเพื่อไทยได้อย่างลงตัว
รองอ้วน ที่ปรากฏตัวในการลงไปต้อนรับคณะของ ทักษิณ ชินวัตร ขณะลงพื้นที่ จึงมีสถานะที่เรืองรองยิ่ง
ส่วน พล.ต.อนุสรณ์ แม้จะได้รับมอบหมายรับผิดชอบงานด้านกิจการพลเรือน ซึ่งเป็นสายงานที่รองอนุสรณ์รับผิดชอบมาโดยตลอด แต่ด้วยความเป็น ตท.26 วันนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หาก**พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.**อยากได้แม่ทัพภาคที่ 4 ที่รู้ใจ ก็เป็นไปได้ที่ ‘บิ๊กปู’ อาจตัดสินใจเลือกเพื่อนร่วมรุ่น ขึ้นมารับผิดชอบงานในพื้นที่สำคัญ
ทั้งหมดยังไม่นับ ‘รองคิ้ว’ พล.ต.ชาคริต ตท.28 นายทหารหมวกแดงที่มาแรง เพราะถูกขยับมาจากตำแหน่งผู้บัญชากองกองพลรบพิเศษ ที่หลายฝ่ายมองว่า ย้ายลงใต้รอบนี้ ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ข้อ
ข้อแรก คือ ลงมาเพื่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ในอนาคต เพราะ รองคิ้ว ถือเป็นนายทหารรบพิเศษฝีมือดี และลงมาทำงานในพื้นที่ภาคใต้หลายครั้ง ทั้งในฐานะนายทหารปฏิบัติการจิตวิทยา และในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังสันติสุข
ส่วนข้อสอง คือ เพื่อแยกดาวรุ่งรบพิเศษ 2 ราย ระหว่าง รองคิ้ว และผบ.เอิร์ธ พล.ต.อินทนนท์ รัตนกาฬ ตท.31 ให้มีโอกาสเติบโตในระนาบแม่ทัพภาคด้วยกันทั้งคู่ เมื่อตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 5 หรือผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ผู้ใหญ่เล็งให้เป็น ผบ.เอิร์ธ ดังนั้น รองคิ้ว จึงถูกแยกลงใต้ เพื่อโตในตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 แทน
ทั้ง รองคิ้ว และผบ.เอิร์ธ เป็นนักรบหมวกแดงลูกรักของทั้ง พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และ ‘บิ๊กเจี๊ยบ’ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี อดีตนายทหารรบพิเศษ สถานะของ รองคิ้ว จึงเป็นแคนดิเดตแม่ทัพภาคที 4 อีกราย ที่แวดล้อมแม่ทัพไพศาลในเวลานี้
นอกจาก 3 รองแม่ทัพ ที่มีลมใต้ปีกหนุนแบบใกล้เคียงกัน ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ของพล.ท.ไพศาล ยังมี**‘บิ๊กจ้อย’ พล.ท.สุรเทพ หนูแก้ว ผอ.ศปป.กอ.รมน. (ตท.26)** อีกราย ที่ขยันลงพื้นที่ เป็นอีกหนึ่งแคนดิเดตที่มองข้ามไม่ได้ เพราะโตมาในกองทัพภาคที่ 4 และเป็นนายทหารตท.26 เพื่อนร่วมรุ่น ’บิ๊กปู‘
’บิ๊กจ้อย‘ หมายมั่นปั้นมือที่จะนำแนวคิดตัวเองลงมาแก้ปัญหาภาคใต้ เพราะให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้ง ถึงการแก้ไขปัญหาภาคใต้ใน 3 มิติ คือ 1 ลด 2 แก้ หนึ่งลดเงื่อนไขความขัดแย้ง และ 2 แก้ คือ แก้ที่การสื่อสาร และแก้ที่การศึกษา
สถานการณ์ของ พล.ท.ไพศาล ท่ามกลางไฟใต้ที่คุกรุ่น และท่ามกลางรุ่นน้องที่มีคุณสมบัติพร้อมเป็นแคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 4 จึงเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างยากลำบาก
ทั้งยากต่อการสั่งงาน ยากต่อการแบ่งงาน ยากต่อการใช้งาน และลำบากจากการไม่มีทีมงานที่รู้ใจ
คำสั่งแต่งตั้งนายทหารระดับนายพลและระดับพันเอกพิเศษ เมื่อปลายปี 2567 ไม่เอื้อให้พล.ท.ไพศาล จัดกำลังและทีมงานได้อย่างเต็มที่
แม้โผเมษายนนี้ อาจมีการขยับบ้าง แต่ก็เชื่อว่า แม่ทัพไพศาล ก็ยังไม่มีอิสระพอที่จะรูปขบวนการทำงานได้อย่างเต็มที่
ถ้าแม่ทัพยังจัดขบวนทัพด้วยตัวเองไม่ได้ ขยับมือไม้ในการทำงานไม่ได้เต็มที่ ก็ยากที่การแก้ปัญหา จะทำได้แบบมีประสิทธิภาพ
โผโยกย้ายกลางปี 2568 จึงเป็นช่วงวัดใจ **‘บิ๊กปู‘ ผบ.ทบ.**ว่า จะเลือกแนวทางไหน ระหว่างการให้เวลาแม่ทัพภาคที่ 4 จนถึงเดือนตุลาคม ด้วยการเปิดให้จัดทัพได้เต็มที่และวัดกันที่ผลงาน กับการเปลี่ยนม้ากลางศึก ด้วยการขยับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ใหม่ ท่ามกลางแคนดิเดตแต่ละราย ที่ต่างฝ่ายต่างมีแรงหนุนและบีบล้อมเข้าไปทุกทาง
พล.ท.ไพศาล เวลานี้มีแรงหนุนเพียงผลงานที่ผ่านมา ที่ผ่านตำแหน่งคอมแมนด์ ทั้งในฐานะผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม และผู้บัญชาการกองพลหลัก พร้อมเสียงสนับสนุนจากเพื่อนร่วมรุ่นตท.25 เท่านั้น