ปรับครม.อิ๊งค์ จากอนิจจัง ถึง "ตถตา" ?!

24 เม.ย. 2568 - 03:09

  • การเมืองก็แบบนี้ ต้องดูกันไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

  • ปรับ ครม.ยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่ยังไม่ใช่เวลานี้เท่านั้น

  • ยังไม่คิดอะไร ก็เป็นไปตามนั้น อนิจจังไปก่อน

politics-thailand-government-cabinet-reshuffle-SPACEBAR-Hero.jpg

การพูดถึงคำว่า อนิจจัง ในวันก่อนของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หากจะมองให้ผ่าน ๆ ไป เหมือนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาออกไป ก็ย่อมได้ เพราะคงไม่ได้คิดจริงจังอะไร แต่หากมองให้ลึกลงไป ก็น่าจะมีแก่นสารอยู่บ้าง

โดยเฉพาะการปรับครม.อิ๊งค์ 1 ที่กำลังจะมีขึ้น แต่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ซึ่งอาจจะมีขึ้นในวันถัด ๆ ไป อย่างที่ได้คาดการณ์กันไว้ หลังงบประมาณปี 69 ผ่านวาระแรก หรือก่อนเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนกรกฎาคม หรืออาจจะเร็วกว่านั้น เพราะในพรรคเพื่อไทยตอนนี้ ออกมาแจกโผกันให้ว่อนแล้ว

การปรับครม.นาทีนี้ จึงยังเป็นอนิจจังอย่างที่ว่า เพราะเป็นความจริงที่มาก่อนเวลานั่นเอง

ล่าสุด ชูศักดิ์ ศิรินิล มือกฎหมายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนี้ไม่มีประเด็นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้พูดถึง ได้สวมวิญญาณนักวิเคราะห์ หากต้องปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากรัฐบาลสถานการณ์จะเป็นอย่างไรว่า

"พูดกันตรงไปตรงมา มันมีคณิตศาสตร์การเมือง เราเห็นตัวเลขกันอยู่ว่า ถ้าเอาพรรคนั้นออกจะเหลือตัวเลขเท่าไหร่ มันเป็นคณิตศาสตร์ทางการเมืองที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์ทางการเมือง ความมั่นคงทางการเมือง คนที่เขาทำงานการเมืองต้องเอาเรื่องนี้มาดู มาวิเคราะห์ว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีรัฐบาลไหนที่เสี่ยงจนถึงขั้นไปตายเอาดาบหน้า ทางการเมืองถือว่าเสี่ยงเกินไป ฉะนั้น ถ้าทำอะไรให้เรียบร้อย พอจะไปกันได้ ก็ต้องว่ากันไป"

ประหนึ่งว่า ต้องอยู่แบบสีทนได้ ประคอง ๆ กันไป "การเมืองก็แบบนี้ ต้องดูกันไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร การเมืองต้องดูเป็นชอต เป็นชอตไป"

ตอนท้าย มือกฎหมายพรรคเพื่อไทย วกมาที่นายกรัฐมนตรี เมื่อถูกถามถึงโอกาสปรับครม.หลังสภาผ่านงบประมาณปี 69 ว่า ต้องดูสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี

"ท่านบอกว่ายังไม่ปรับ ยังไม่คิดอะไร ก็เป็นไปตามนั้น อนิจจังไปก่อน"

สรุปคือ การปรับครม.ยังเกิดขึ้นได้ตลอด แต่ยังไม่ใช่เวลานี้เท่านั้นเอง

ทีนี้ในมุมของฝ่ายค้าน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังมองโอกาสที่เพื่อไทยจะปรับภูมิใจไทยออก และนำพลังประชารัฐ เข้าร่วมรัฐบาลมีความเป็นไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเอง

"ถ้ามองตัวเลขทางการเมือง ก็มีความเป็นไปได้ หากมีเรื่อง 44 สส.เข้ามา แต่อย่างไรก็อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี ผมไม่สามารถตอบแทนพรรคเพื่อไทยได้"

ความเห็นที่ว่าข้างต้น ณัฐพงษ์ อธิบายว่า หากมองในเรื่องของสมการและตัวเลขทางการเมือง หรือจำนวน สส.ของฝ่ายค้าน ที่ยังมีส่วนของคดี 44 สส.ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ 25 สส.ของพรรคประชาชนที่อยู่ในสภาด้วย และตัวแปรนี้ก็อาจส่งผลกระทบทางการเมือง

พูดง่าย ๆ คือ หาก สส.ในสภาหายไปอีก 25 เสียง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 494 เสียง จะทำให้เสียงข้างมากเกินครึ่งของสภา ต้องปรับลดลงตามไปด้วย ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีมากถึง 300 เสียง ก็สามารถบริหารประเทศได้

กลับมาที่เรื่องของอนิจจังทางการเมือง แม้จะเห็นภาพ "ภูมิธรรม-อนุทิน" สองแกนนำพรรครัฐบาล เดินคล้องแขน จับมือ โชว์หวานกันในทำเนียบรัฐบาล แถมมีคำพูดจะอยู่ด้วยกันไปชั่วนิรันดร ไม่ใช่แค่ถึงปี 70 ที่จะมีเลือกตั้งใหม่เท่านั้น

แต่อีกด้าน "เฮียตือ" สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล บิดาสองสส.ภูมิใจไทย "ภราดร-กรวีร์" ออกมาเปิดก๊อกสอง แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในยามที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับสงครามทางการค้า เห็นว่า สถานการณ์ของประเทศยามนี้ ต้องการมืออาชีพ

"ถ้าผู้นำประเทศ เป็นเพียงแค่ "สัญลักษณ์" ยากเหลือเกินที่จะนำพาประเทศก้าวข้ามความยากลำบากไปได้ เราต้องกาารมืออาชีพ ที่ปกครองได้ บริหารเป็น ความมืดมนอนธกาล ช่างน่ากลัวยิ่งนัก"

การออกมาแสดงความเห็นรอบใหม่ของ "เฮียตือ" แม้จะไม่มีสถานะใดทางการเมือง แต่ก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับ "พ่อนายกฯ" นั่นแหล่ะ จึงแยกไม่ออกกับการเมืองเชิงความสัมพันธ์ในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน 

ดังนั้น หากมองความเป็นไปทางการเมืองที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือเรื่องการปรับครม.หรือปัญหาการเมือง "พ่อ-ลูก" ยกเก่า-ใหม่ ตราบใดที่ผลประโยชน์ลงตัว อยู่ร่วมกันได้ ทุกอย่างก็จะยังเป็นอนิจจังต่อไป

แต่วันใดที่อยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว จากอนิจจัง จะเปลี่ยนเป็นคำว่า "ตถตา" แทน เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง ขึ้นชื่อการเมืองอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

ดูอย่างในพรรคเพื่อไทย ที่แจกตำแหน่งกันไปล่วงหน้าก่อนแล้ว?!

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์