นาทีนี้เข้าใจว่าข้อความ ‘มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี’ ที่นักการเมืองประกาศไว้ในในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง คงยังดังก้องอยู่ในหูของหลายคน แม้เวลาจะผ่านมาย่างเข้าสู่ปีที่สองแล้ว
จนกระทั่ง พรรคเพื่อไทย เจ้าของมอตโตหาเสียงข้างต้น ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ผ่านมาถึงนายกรัฐมนตรี คนที่สอง แต่สิ่งที่พูดคำโตเอาไว้ยังไม่บังเกิดมรรคผลขึ้นแม้แต่คำเดียว
ในทางกลับกัน บรรยากาศประเทศไทยช่วงก่อนสิ้นปี 2567 ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี กลับเต็มไปด้วยความซบเซา ห่อเหี่ยว สิ้นหวัง ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร
ไม่ว่าพระสงฆ์ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หมอ ที่ทำหน้าที่รักษาคนไข้ ทนายความ นักการเมือง ล้วนถูกตีตราเป็นคนฉ้อฉล คดโกง ประพฤติตัวหลอกลวงคนอื่นเป็นปกติธุระ จนมีผู้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเหล่านี้จำนวนมาก
กลายเป็นปีแห่งการหลอกลวงของคนไทย
ทั้ง ๆ ที่มีความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ‘ได้อยู่ดี กินดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี’ จากการมาโปรดของนักการเมือง ที่ตัวเองไปหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกไว้เมื่อหลายเดือนก่อน
และไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องเท่านั้น นโยบายด้านการเมือง ความมั่นคง การต่างประเทศ ก็ล้วนติดขัดไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนไม่ได้ตั้งตารอเท่ากับนักการเมือง การออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ขึ้นในบ้านเมือง
รวมถึงการตั้งคณะกรรมการเทคนิคหรือ JTC ตาม MOU44 ที่เป็นข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา ในการนำพลังงานที่อยู่ใต้ทะเลอ่าวไทยขึ้นมาใช้ อันเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเอง ก็ทำแบบติด ๆ ขัด ๆ ไม่กล้าตัดสินใจไปทางใดทางหนึ่ง
ล่าสุดเหตุการณ์ยิงเรือประมงไทยของทหารเมียนมา พร้อมยึดเรือ จับคนไทยไปไว้ที่เกาะย่านเชือก เวลาผ่านไปหลายวันยังนำตัวคนไทยกลับมาไม่ได้ เช่นเดียวกับชายแดนไทยภาคเหนือที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ไปจนถึงชายแดน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ก็เกิดการเผชิญหน้าระหว่างทหารไทยกับกลุ่มว้าแดง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันทั้งชายแดนทางบกและทะเล จากที่อยู่กันอย่างสงบสุขมานานร่วม 30 ปี วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมประเทศเพื่อนบ้านกระทำการเหมือนยั่วยุ ไม่มีความยำเกรงประเทศไทย ใยปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านกระทำการแบบนี้ แล้วศักดิ์ศรีของประเทศไทยอยู่ที่ตรงไหน?
ไม่ทำให้มีกิน มีใช้ไม่พอ ยังปล่อยให้หลู่เกียรติ หยามศักดิ์ศรีอีกอย่างนั้นหรือ!!
วันก่อนเห็นนักการเมืองใหญ่ในพรรครัฐบาลคนหนึ่ง กล่าวคำสบประมาท สส.ในพรรครัฐบาลด้วยกัน ชนิดที่ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่พรรคที่สส.คนนั้นสังกัดอยู่ว่า ‘รุ่นใหญ่เขาคุยกัน ไม่ไปคุยกับรุ่นเล็กหรอก เสียเวลา’
คำพูดที่ว่าของนักการเมืองคนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปในรัฐบาลที่มีสารพัดปัญหาสุมกองกันอยู่นั้น ก็เพราะรุ่นใหญ่ยังไม่ได้คุยกัน หรือคุยกันไม่รู้เรื่อง จึงทำให้ไม่สามารถอยู่ดี กินดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีกันเสียที
มีอีกตัวอย่างสด ๆ ร้อน ๆ จากที่ประชุมครม.วานนี้( 3 ธ.ค.67) กรณีการแจกเงินหมื่นเฟสสอง ที่ต้องเลื่อนพิจารณาออกไป นายกฯ อิ๊งค์ บอกกับนักข่าวหลังการประชุมว่า ขอพิจารณาข้อกฎหมายให้รอบคอบก่อนจะนำเข้า ครม.อีกครั้ง
แต่ รมช.คลัง เผ่าภูมิ โรจนสกุล บอกว่า เงื่อนไขที่ติดอยู่ไม่ได้ติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย แต่เป็นรายละเอียดเรื่องของความครบถ้วน ที่ต้องดูเอกสารให้ครบถ้วน และคาดว่าจะสามารถเสนอให้ ครม. พิจารณาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
ด้าน จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาล บอกกับนักข่าวเช่นกันว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุมีการบรรจุอยู่ในวาระเพื่อพิจารณา แต่นายกฯ ได้ให้ข้อสังเกตในข้อกฎหมายบางประการ และเงื่อนไขในการดำเนินการเฟสแรก มีข้อติดขัดใดบ้าง โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำกลับไปทำมาให้ละเอียดกว่านี้ และคาดว่าจะนำเข้าครม.ภายในสัปดาห์หน้า
ขนาดแจกเงินหมื่นที่ผ่านมาถึงเฟสสองแล้ว เงินก็นอนรออยู่ในคลัง คนจะรับ 3- 4 ล้านคน ก็ลงทะเบียนอยู่ในแอปฯ ทางรัฐแท้ ๆ แต่ยังเกิดอาการขัดลำกล้อง ชักเข้าชักออก ก่อนเข้าประชุมครม.พูดอย่างหนึ่ง หลังประชุมเป็นอีกแบบ
ภาวะโรคเลื่อนของการแจกเงินหมื่นที่เกิดขึ้นในรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นั้น พอเข้าใจได้ว่าเป็นการยื้อรอคนแจกตัวจริงมากดปุ่มแจก แต่มาถึงรัฐบาลชุดนี้ไม่มีอะไรให้ต้องรอแล้ว
เหลือที่ต้องรออย่างเดียวคือ ความชัดเจนในข้อกฎหมาย กับให้รุ่นใหญ่เขาคุยกันให้จบ จะผลัดกันเกาหลังหรือแลกกันคนละกี่หมัด ก็ว่ากันเสียให้เรียบร้อยเป็นเรื่อง ๆ ไป
นี่แหล่ะการเมืองไทยในยุคที่ต้องรอสัญญาณจากรุ่นใหญ่ก่อน จึงทำให้ประเทศเดินหน้าหนึ่งก้าวถอยหลังสองก้าว วนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเสียที
ครั้นจะรอให้ฝ่ายค้าน มาทำหน้าที่ถ่วงดุล ตรวจสอบรัฐบาล ก็คงไม่ได้เห็นบรรยากาศเหมือนเกาหลีใต้ ที่พากันออกมาขวางประกาศกฎอัยการศึกกลางดึก จนประธานาธิบดีต้องถอยแบบไม่เป็นท่า
เพราะบ้านเรายุคนี้ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างก็รอสัญญาณจากรุ่นใหญ่พอ ๆ กันนั่นแหล่ะ.