ในขณะที่รัฐบาลกำลังใส่เกียร์เดินหน้านโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้มีบ่อนกาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมายขึ้นในประเทศไทย โดยไม่สนเสียงรุมต้านที่มาจากรอบทิศ
แถมมองคนที่ไม่เห็นด้วยเป็นเพียงเสียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่ออกมาขวางทางปืน
ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะมองว่าเรื่องนี้ได้ผ่านการรับรองมาแล้วถึงสองด่าน คือ ด่านแรก จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และด่านที่สอง การเปิดรับฟังความเห็นร่างกฎหมาย ที่มีผู้เห็นด้วยมากกว่า ร้อยละ 80 จึงพยายามรวบหัวรวบหางเตรียมเสนอร่างกฎหมายเข้าสภา
ไม่สนเสียงทัดทานใด ๆ อีก กะว่าพร้อมลุยไฟกันไปเลย ประมาณนั้น
ล่าสุด ‘รองฯ อ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งอยู่ระหว่างทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ถึงกับขึงขังรอช้าอีกไม่ได้ หากยิ่งคัดค้านก็ยิ่งทำให้กระบวนการล่าช้า จึงทึกทักเอาว่า การที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไป ก็ถือว่าเหมือนได้ประชามติมาแล้ว เพราะเป็นการเสนอนโยบายต่อสาธารณะ ประชาชนทุกคนรับรู้
‘ในรัฐสภามีตัวแทนประชาชนจากทั่วประเทศให้การรับรองไปแล้ว จะต้องทำประชามติอะไรอีก’ รองฯ อ้วนว่าอย่างนั้น
แต่ถ้าจะเดินหน้ากันจริง ๆ เก้าจะเดิน สิบจะเดินอย่างไร เรื่องของบ่อนกาสิโน และพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย มีผู้รู้ นักวิชาการ เตือนเอาไว้ว่าหมิ่นเหม่ต่อการกระทำขัดรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 3 ประเด็นด้วยกัน ได้แก่
หนึ่ง ในคำปรารภบางตอนที่ว่า ‘เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลเข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ’
รวมทั้ง ข้อความในตอนท้ายที่เป็นพระราชดำรัส ความว่า
‘ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนำมาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ’
สอง ในหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 67 บัญญัติไว้ว่า
‘รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย’
สาม ในมาตรา 160 กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเอาไว้ใน (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นอกจากนั้น ยังอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่สามารถยื่นร้องเอาผิดได้ตามมาตรา 234 (1) ที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวนเอาผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ที่ว่ามานี้ยังไม่มีใครไปยื่นร้อง เพราะรัฐบาลยังอยู่ในระหว่างการตั้งลำเท่านั้น
แต่ได้มีผู้ชี้ช่องไว้ บางรายเป็นนักวิชาการที่เคยข้องแวะกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มาก่อน บางรายเป็นนักการเมือง และมีนักบวชรวมอยู่ด้วย คงเห็นว่าแทนที่รัฐบาลจะส่งเสริมสนับสนุนและเผยแผ่หลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเป็นหน้าที่ไว้
แต่กลับทำตรงกันข้าม เปิดทางให้มีอบายมุขเข้ามาเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง ซึ่งจะมีผลไปปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยมของสังคม เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จากสัมมาทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ
ไม่เพียงไม่ทำหน้าที่จรรโลงพระพุทธศาสนา ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น แต่ยังจะทำลายเยาวชน ทำลายอนาคตของชาติ และนำสังคมไทยไปสู่หายนะในที่สุดด้วย
ส่วนใครจะทำ ไม่ทำอะไรต่อ ก็ไปใคร่ครวญกันเอาเองตามที่เห็นสมควรเถิด