ยิ่งติดตาม ยิ่งเพิ่มอรรถรส ยิ่งติดตามก็ยิ่งเห็นร่องรอย สำหรับสองคดีใหม่ และกำลังเป็นคดีใหญ่ที่ถูกเปิดขึ้น
คดีแรก เป็นกรณี ทนายตั้ม ‘ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ ถูกคู่กรณีแจ้งข้อกล่าวหาในคดียักยอกเงินจำนวน 71 ล้านบาท
คดีที่สองเป็นคดีที่ มาดามกุ๊บกิ๊บ ‘ศิรินัดดา หักพาล’ ถูกผู้หญิงคนหนึ่งออกมาแจ้งข้อกล่าวหาในคดีลักทรัพย์เป็นทองคำแท่ง และทองรูปพรรณ น้ำหนัก 120 บาท พร้อมเงินสดอีก 6 แสนบาท แถมอ้างเรื่องฉาวพัลวันพัลเกกันจนสะเทือนสังคม
สองคดีนี้ คดีแรก ทนายตั้ม ถูกแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
คดีที่สอง มาดามกุ๊กกิ๊บ ถูกแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจนครบาลพระโขนง
สองคดีนี้ เป็นคดีอาญาทั้งคู่
สองคดีนี้ ผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งความล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สองคดีนี้ คดีของทนายตั้ม แม้จะถูกแจ้งความที่ สภ.ปากช่อง แต่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเตรียมส่ง ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ลงไปควบคุมคดีด้วยตัวเอง และล่าสุดพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง ได้ส่งมอบสำนวนคดีให้ตำรวจสอบสวนกลางไปดูแลคดีแล้ว
ส่วนคดีของ มาดามกุ๊บกิ๊บ ‘ศิรินัดดา’ แม้ สน.พระโขนงจะเป็นเจ้าของคดี แต่คดีนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ลงพื้นที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง
คดีของ มาดามกุ๊บกิ๊บ แม้จะเป็นคดีลักทรัพย์ และผู้ถูกกล่าวหามีตัวตน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งชัดเจน แต่ที่ถูกตั้งคำถามและตั้งข้อสังเกต คือ เหตุใดพนักงานสอบสวน ถึงเร่งรัดการดำเนินคดีจนถึงขั้นนำหลักฐานไปยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอหมายจับทันที
แค่ติดตามความต่าง ความเหมือนของสองคดีนี้ก็สนุกแล้ว เพราะนอกจากทั้ง ทนายตั้ม และ มาดามกุ๊กกิ๊บ จะเป็นคนใกล้ชิดมากของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ แต่ทั้ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ และพล.ต.ท.ไตรรงค์ ต่างก็เคยเป็นคู่กรณีของบิ๊กโจ๊กเช่นกัน
ทั้งสองคดีแม้มีความเป็นไปได้ และเป็นหน้าที่โดยตรงในสายงานบังคับบัญชาของนายตำรวจทั้งคู่ ที่สามารถลงไปติดตามควบคุมคดีได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมต่างก็จับจ้องไปยังความเคลื่อนไหวของทั้ง 2 คดีนี้อย่างใกล้ชิด
แม้กระทั่งขั้นตอนการเร่งรัด ที่รีบออกหมายจับในคดีของ มาดามกุ๊บกิ๊บ แม้เป็นอำนาจ และดุลพินิจของพนักงานสอบสวน แต่ก็เป็นคำถามและข้อสังเกตุสำคัญของสังคมเช่นกัน
นอกเหนือคำถามและข้อสังเกตปริศนาสำคัญของทั้งสองคดีนี้ คือ ทำไมสองคดีนี้จึงบังเอิญเกี่ยวพันกับคนใกล้ชิดกับ บิ๊กโจ๊ก และทำไมทั้งสองคดีถูกเปิดออกมาในช่วงเวลาที่ไล่เรี่ยกัน และทั้งสองคดีเป็นเรื่อง ‘บังเอิญ หรือ จงใจ’
ประการสำคัญ ทั้งสองคดี ถูกเปิดออกมาในห้วงเวลาที่ ‘ศึกเทวดา ปะทะ เทวดา’ กำลังเปิดเกมห้ำหั่นกันอย่างเข้มข้น ทั้งสงครามผ่านตัวแทนและสงครามทางตรง
ศึกมหาเทพ หรือ สงครามเทวดา ปะทะ เทวดา รอบนี้ เป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่นักวิเคราะห์ รวมถึงคอการเมืองให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการเดินหมากแต่ละครั้ง แต่ละเรื่องที่ต่างฝ่าย ต่างงัดขึ้นมาปะทะกัน เต็มไปด้วยความรุนแรง และแผ่รังสีอำมหิต ที่ถึงขั้นฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด อาจตกเวทีการเมืองแบบไม่มีโอกาสฟื้นอีก
ความเคลื่อนไหวทั้งหมด เริ่มต้นนับจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่ ‘อิ๊งค์’ แพทองธาร ชินวัตร ได้รับคะแนนท่วมท้นในสภาขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ที่บรรดานักร้องเบอร์ใหญ่ ดาหน้าเข้ามางัดทุกข้อกฏหมาย งัดทุกประเด็นเข้ายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายที่ตัว นายกฯอิ๊งค์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย รวมถึงเล็งเป้าใหญ่ไปยังเทวดาชั้น 14
จากนั้นก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากอีกด้าน งัดคลิปเสียงเรื่องการต่อรองตำแหน่ง คลิปเสียงเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ รวมทั้งงัดคดีสำคัญหลายคดี ไม่เว้นแม้แต่คดีThe Icon ที่แม้จะเป็นการทลายขบวนการหลอกลวงชาวบ้าน แต่เป้าหมายสุดท้ายก็พุ่งเป้าไปสู่เทวดาอีกฝ่ายเช่นกัน
แล้วศึกเทวดา ปะทะ เทวดาที่กำลังเข้มข้น และห้ำหั่นกันถึงพริกถึงขิง เกี่ยวข้องกับอะไรกันกับ 2 คดีนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับ ‘บิ๊กโจ๊ก’
ทำไมคนใกล้ชิดของ บิ๊กโจ๊ก ถึงบังเอิญมาต้องคดีในช่วงเวลาเดียวกัน
บังเอิญ ‘ฟ้อง’ หรือ ‘จงใจฟ้อง’ จึงเป็นปริศนาที่รอเฉลย…
แล้วทำไมต้องเป็น ‘บิ๊กโจ๊ก’ อีกแล้ว ทั้งที่วันนี้ บิ๊กโจ๊ก ก็แทบหมดบทบาท แทบจะหมดสภาพอดีตนายตำรวจใหญ่มากบารมีไปแล้ว
บด ‘ตั้ม’ ขยี้ ‘กุ๊บกิ๊’‘ เป็นกลยุทธ์กระทืบกล่องดวงใจ ‘บิ๊กโจ๊ก’ อย่างไร…รอติดตามใน EP.หน้า