ไม่ว่าใครจะมองบวก มองลบอย่างไรก็ตาม กับผลการเลือก สว.ที่ได้สภาสูงเป็น ‘สภาสีน้ำเงิน’ ซึ่งต่อให้มีการยื่นคัดค้านอีกกี่ร้อย กี่พันคำร้อง แต่กระบวนการทุกอย่างคงเดินหน้าไป ไม่มีคำว่า ยับยั้ง ทบทวน ที่ทำให้เกิดการล้มกระดาน หรือให้การเลือกสว.ครั้งนี้เป็นโมฆะอย่างแน่นอน
ส่วนที่ กกต.ยังรีรอทอดเวลาประกาศรับรองไปสัปดาห์หน้า คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘การบริหารอารมณ์สังคม’ หรืออย่างมากอาจจะมีการ ‘สอยโชว์’ ในบางราย เยียวยาความรู้สึกสังคมบ้างก็เท่านั้น โดยเฉพาะในจำนวนกว่า 600 คำร้อง มีมากถึง 65% ที่เป็นปัญหาคุณสมบัติ
เพราะผลการเลือกที่ได้ สว.สีน้ำเงิน เข้ามาเกินครึ่งค่อนสภา หรือมากถึง 61 % นั้น สามารถทำหน้าที่แทน สว.จากการแต่งตั้งของ คสช.ที่กำลังจะกลับบ้านไป ชนิดเป็น ‘ตัวตายตัวแทน’ ได้อย่างลงตัว ต่อให้เลือกใหม่อีกกี่ครั้ง ผลก็คงไม่ออกมาเป็นบวกกับฝ่ายอนุรักษ์เท่านี้
ทำให้กลเกมอำนาจการบริหารประเทศในอีก 5 ปีต่อจากนี้ แม้ไม่มี สว.แต่งตั้งจากคสช.ตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแล้ว แต่สว.สีน้ำเงิน จะมารับบท ‘ถ่วงดุลอำนาจ’ กับสภาล่างแทน และจะทำหน้าที่ได้คล่องตัวกว่า ไม่ต้องคอยกระมิดกระเมี้ยนเหมือนที่ผ่านมา เพราะมาจากบทหลักของรัฐธรรมนูญ
ไม่ต้องกลัวใครมาค่อนแคะเป็นมรดกสืบทอดอำนาจของ คสช.อีกต่อไป
เมื่อ สว.สีน้ำเงิน สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตยตัวใหม่ จึงทำให้หลายเรื่องที่เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่แถลงต่อสภาไว้ และยังคาๆ อยู่ในเวลานี้ ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ, การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไปจนถึงการแก้ไขมาตรา 112 คงต้องมาตั้งลำกันใหม่หมด
แน่นอนว่าเรื่องที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ต้องถูกปิดประตูลั่นดาลลงสนิท
เพราะกระบวนการตรากฎหมายต้องผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาด้วย หรือต่อให้ใช้กลไกในรัฐธรรมนูญ ให้สภาผู้แทนราษฎรยืนยันด้วยเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งอีกครั้งหากถูกสภาสูงคว่ำ แต่ต้องไปติด ‘ล๊อก’ องค์กรอิสระ ที่มาจากการแต่งตั้งของวุฒิสภาอีกด่านอยู่ดี
เอาเป็นว่า การเมืองภายใต้ สว.สีน้ำเงินต่อจากนี้ หากสภาสูงไม่เอาด้วย แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อให้ผ่านการทำประชามติมาก็เถอะ หากไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก สว. 1 ใน 3 หรือ 67 เสียงขึ้นไป ทั้งในวาระแรกและวาระสาม ก็ไม่สามารถทำได้
ดูจากที่สื่อแต่ละสำนักจัดกลุ่มผู้ได้รับเลือกเป็นสว.รอบนี้แล้ว มีที่ไม่ใช่สีน้ำเงินอยู่เพียง 45 คนเท่านั้น และยิ่งอยู่นานไปไม่รู้จะถูกสีน้ำเงินกลืนอีกเท่าไหร่ ดังนั้น เสียงในสภาสูงที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางประเทศต่อจากนี้ จึงฝากไว้กับ ‘คนคุมเกม’ ในค่ายสีน้ำเงิน จะบันดาลให้เดินไปในทิศทางไหน
และแน่นอนว่า ร่างกฎหมายกัญชาที่ถูกแช่แข็งไว้ตั้งแต่สภาชุดที่แล้วซึ่ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นำมาพูดตัดพ้อผ่านสื่อครั้งแล้วครั้งเล่าเรื่อง ‘ถูกหักหลัง’ คงได้เวลานำกลับมาปัดฝุ่นใหม่ โดยไม่ต้องกังวลกับเสียงขู่ของใครที่จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอีกหรือไม่
เรื่องอื่นๆ อาจถูกดองเค็ม แต่สำหรับกัญชา น่าจะได้เวลาของสายเขียว ที่จะหวนคืนสู่ยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ ได้ ‘ปู้น ปู้น’ กันสบายใจเฉิบอีกรอบ
ไม่นับธุรกิจสายเขียวหมื่นล้าน พันล้าน ที่ต่อจากนี้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาตีเมืองขึ้นอีก