ปัญหาวุฒิการศึกษาของ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ สว.ที่ได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แต่มีปัญหาดีกรีดอกเตอร์ จาก California University FCE รวมทั้ง ตำแหน่งศาสตราจารย์ จากสถาบันการศึกษาเดียวกันด้วย
ยิ่งสาวยิ่งลึก ‘เข้ารกเข้าพง’ กันไปใหญ่?!
ล่าสุดสำนักงาน ก.พ.ที่ถูกอ้างรับรองวุฒิการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้ ได้ออกมาชี้แจงว่า ตรวจสอบแล้ว ‘ไม่พบ’ มีส่วนราชการใดส่งข้อมูลของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาดังกล่าวให้สำนักงานก.พ.พิจารณารับรองคุณวุฒิ เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนได้
ส่วนที่นำมาแสดงระบุว่า สำนักงานก.พ.รับรองคุณวุฒิสถาบันการศึกษา CaliforniaUniversity สหรัฐอเมริกาที่ปรากฏในสื่อ มิใช่ข้อมูลจากฐานข้อมูลของสำนักงานก.พ.แต่อย่างใด
พร้อมทั้งแจ้งด้วยว่า ในกรณีที่มีการให้ข้อมูลพาดพิงและทำให้ สำนักงานก.พ.เกิด ‘ความเสียหาย’ สำนักงาน ก.พ.ขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่ ‘อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ’ รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งถูก California University FCE นำไปอ้างในเว็บไซต์ของตนเอง ว่า ‘รัฐสภาไทยให้การรับรองว่าเทียบเท่ามหาวิทยาลัยรัฐของประเทศไทย’ นั้นในฐานะหน่วยงานในกำกับของประธานรัฐสภา อยู่ในระหว่างประสานงานในการตรวจสอบและชี้แจงต่อสังคม
ด้านเจ้าตัว ‘หมอเกศกมล’ ได้มอบหมายทนายความไป ‘ฟ้องร้องดำเนินคดี’ เอาผิดกับสื่อและผู้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ที่ทำให้ตนเองเสียหาย ไม่รู้ฟ้องไปกี่รายแล้ว แต่ก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลาย ทำให้ ‘คดีรกโรงรกศาล’
‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ หนึ่งในผู้สมัคร สว.และอดีต กกต.ได้ออกมาชี้ช่องกฎหมายให้อีกทางว่า เรื่องการสมัคร สว.กับวุฒิปริญญาเอก และตำแหน่งศาสตราจารย์ กฎหมาย ‘ไม่มีการกำหนด’ คุณสมบัติเรื่องวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ สำหรับผู้สมัครเป็น สว.ว่าจะจบ ป.4 หรือไม่จบเลยก็สมัครสว.ได้ ดังนั้น จบหรือไม่จบปริญญาเอกจริงหรือไม่จริง ไม่เป็นประเด็น ‘ขาดคุณสมบัติ’
แต่ประเด็นสำคัญ คือ ในเอกสารแนะนำตัวคือ**‘ใบ สว.3’** ที่เป็นเอกสารหลักให้ผู้สมัครด้วยกันอ่านและตัดสินใจเลือก มีข้อความที่เป็นเท็จหรือไม่ ‘หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ’ จะเข้าข่ายการกระทำความผิด มาตรา 77(5) ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.ในเรื่อง **‘หลอกลวง’หรือจูงใจให้ผู้อื่น‘เข้าใจผิด’**ในคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถหรือชื่อเสียง เกียรติคุณของผู้สมัครใด ที่ความผิดดังกล่าวเป็น ‘ใบแดง’ และมี ‘โทษอาญาจำคุก’ 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี
เรื่องนี้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ได้บัญญัติไว้ว่า
‘ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่า สมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลง และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องนั้น ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่
เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย..ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่’
และในวรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ได้บัญญัติไว้ด้วยว่า
‘ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่ออวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งได้ด้วย’
กรณีของหมอเกศกมล รัฐธรรมนูญได้ ‘เปิดช่อง’ ให้ทั้งสมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกันยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และให้ กกต.ยื่นเองได้ด้วย เมื่อความปรากฎหรือกกต.เห็นเอง
ก็ไปเลือกกันเองจะ ‘ให้ใครเป็นเจ้าภาพ’ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ปัญหาจะได้จบๆ เป็นบรรทัดฐานในวันข้างหน้า ที่สำคัญจะได้ไม่ต้องฟ้องร้องกันไปมาให้คดีรกศาลเสียเวลา เสียเงินเสียทองกันเปล่า ๆ ซึ่งจะให้ดีก็ต้องเป็น กกต.นั่นแหล่ะไปยื่นเอง จะดูเท่กว่า
ไม่ต้องเสียเวลารอ สว.เข้าชื่อกัน ‘หนึ่งในสิบ’ ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ส่วนหมอเกศกมล ที่แวบเข้าไปส่งเอกสารเพิ่มที่สภา พร้อมส่งยิ้มหวานให้สื่อบันทึกภาพเมื่อวาน นาทีนี้ประเมินจากกระแสสังคมและข้อเท็จจริงที่ปรากฎ บอกได้คำเดียวว่าไม่รอดแน่!!