มีบางคนเปรียบเทียบว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด(มหาชน) หรือ E@ ของสมโภชน์ อาหุนัย ในห้วงเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับชั่วขณะสุดท้ายของชีวิตที่มักจะมีอาการที่เรียกว่า ‘ศพกระตุก’ ที่ทางการแพทย์อธิบายว่าเป็นอาการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (Cadaveric Spasm) ที่เมื่อร่างกายของผู้เสียชีวิตเริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อชักกระตุกเหมือนยังมีชีวิตอยู่ได้
เพราะเหตุนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจึงเห็นความ**‘ผันผวน’**ในด้านราคาของหุ้นในกลุ่มมากเป็นพิเศษ โดยราคาหุ้นของกลุ่ม E@ เหวี่ยงขึ้นลงไปตามกระแสข่าวลือที่ทะลักท่วมเข้าไปในตลาดหุ้น ซึ่งกลายเป็นโอกาสของนักเทรดสายเก็งกำไรที่จะเข้าไปเสี่ยง
ราคาหุ้นของกลุ่ม E@ จึงมีอาการ ‘แกว่งอย่างรุนแรง’ ตลอดสัปดาห์ โดยในวันศุกร์ (26 กรกฎาคม) หุ้นตัวแม่ คือ EA ปิดที่หุ้นละ 4.10บาท ส่วนหุ้นลูกอีก 2 บริษัท คือ บริษัทเน็กซ์ พอยท์ จำกัด(มหาชน) NEX ปิดที่หุ้นละ 0.82 บาท และ บริษัทหลักทรัพย์บียอนด์ จำกัด (มหาชน) BYD ปิดที่หุ้นละ 1.02 บาท
ต้องยอมรับว่าในรอบสัปดาห์นี้ หลังจากมีข่าวเชิงลบจากการแจ้งขอเลื่อนวันไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน B/E 2 รุ่น มูลค่ารวม 700 ล้านบาท จากวันที่ 23 กรฎาคม และ 1 สิงหาคม ไปเป็นวันที่ 9 สิงหาคมนั้น ทำให้ตลาดเกิดอาการ Panic ราคาหุ้นในกลุ่ม E@ ไหลรูดลงไปติด ‘ฟลอร์’ อีกครั้งจากการเทขายของนักลงทุน เพราะวิตกว่าปัญหาจะลามไปถึงการไถ่ถอนหุ้นกู้ 2 รุ่น ที่กำลังจะครบกำหนดในเดือนสิงหาคมและกันยายนอีกราว 5.5 พันล้าน และอาจทำให้เป็นเหตุให้เกิด Cross Default กับหุ้นกู้ในส่วนที่เหลือทั้งหมด และนำไปสู่เหตุการณ์ที่ทุกคนกลัวคือ การเดินเข้าสู่ Red Zone ของการที่อาจทำให้กิจการต้อง ‘ล้ม’
แต่พอถึงวันพุธ หุ้นกลุ่ม E@ กลับฟื้นขึ้นมาแรงยกแผง โดยมี ‘ข่าวลือ’ 2 ชิ้นใหญ่กระตุ้นการเก็งกำไร คือข่าวลือว่าบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ของสารัชถ์ รัตนาวะดี จะเข้าไปซื้อหุ้นกลุ่ม E@ และ ข่าวลือว่ากลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ของนายคีรี กาญจนพาสน์ จะซื้อหุ้นบริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด ซึ่งบริษัท EA ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียน
แต่ทั้งสองข่าวก็ถูก ‘ปฏิเสธ’ จากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยในกรณีของ GULF มีการแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ว่าไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนในบริษัทอื่นเพิ่มเติม ในระหว่างที่ยังดำเนินการในการควบรวมกิจการระหว่าง GULF กับ บริษัทอินทัช โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) เพื่อตั้งบริษัทใหม่ ในขณะที่ ไทยสมายล์บัส โดย ‘กิ๊ก’ กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ก็ปฎิเสธข่าวดังกล่าวเช่นกัน
‘สมใจนึก เองตระกูล’ ประธานกรรมการบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มE@ ยอมรับว่า ตอนนี้เหลือทางออกไม่มากนัก โดยทางเลือกแรกคือ
การหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาช่วยพยุงและอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรืออาจจะต้องตัดสินใจ ‘ยอมสละอวัยวะรักษาชีวิต’ ตัดขายสินทรัพย์บางอย่างออกไปเพื่อให้มีกระแสเงินสดเข้ามาใช้หนี้ระยะสั้นที่ใกล้ถึงเส้นตายมาทุกขณะ โดยยังมีความหวังว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่ในไทย หรือกองทุนประเภท ‘กรีน เอนเนอร์ยี’ ในต่างประเทศบางรายที่อาจจะสนใจมาร่วมลงทุน หรือ ซื้อธุรกิจบางบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม E@
คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจาก E@ จะต้องมีเจ้าภาพรายใหม่หรือผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่เข้ามาแทนกลุ่ม ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ เพราะถ้าไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มใหม่เข้ามาเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน และไม่เงินก้อนโตเข้ามาช่วยอัดฉีดเพื่อ **‘ปลดเปลื้อง’**ภาระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนดชำระคืน วิกฤตมาเยือน E@ แน่อย่างไม่ต้องสงสัย
อาจจะต้องเลือกแนวทางสุดท้ายคือการขอยื่นเข้า ‘แผนฟื้นฟูกิจการ’ กับศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้ต้องเดินไปสู่ภาวะ ‘ล้มละลาย’
แต่คำถามที่ยังรอคำตอบคือ ใครจะเป็นผู้กล้าโดดเข้ามาเป็นเจ้าภาพ E@ แทนกลุ่มสมโภชน์ เพราะหากมองธุรกิจในภาพรวมของ E@ ก็ไม่มี ‘จุดเด่น’ ที่น่าสนใจเหมือนในอดีต เพราะธุรกิจหลักอย่างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ก็ไม่ได้รับเงิน ‘อุดหนุน’ หรือค่าแอดเดอร์แล้ว ทำให้รายรับในอนาคตจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ก็ดูเหมือนจะสูญเปล่า จนแบกภาระหนี้สินก้อนโต
ธุรกิจผลิตรถเมล์ไฟฟ้า ก็ยังมีปัญหาทั้งในส่วนการผลิตของ เน็กซ์ พอยท์ และการให้บริการเดินรถ ไทยสมายล์บัส ที่ยังแบกหนี้อยู่มหาศาลเช่นเดียวกัน
ยิ่งหากหันกลับไปมองไปถึงคดีความที่กำลังโดน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.เล่นงานกล่าวหาเกี่ยวกับการ **‘ถ่ายเท’**เงินจากการลงทุนโรงไฟฟ้า 2 โรง มูลค่ากว่า 3.46 พันล้านบาท และกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีไปแล้ว ยิ่งทำให้นักลงทุนที่สนใจอาจจะต้อง ‘ถอยห่าง’ เพราะไม่มีทางรู้ว่าคดีจะนำไปสู่จุดไหน และหากมีการยึดหรืออายัดทรัพย์สมโภชน์และพวกตามมา จะกระทบต่อฐานะทางการเงินของกลุ่ม E@ ให้หนักหนาสาหัสไปกว่านี้หรือไม่
การบ้านของ สมโภชน์ และสมใจนึก จึงต้องบอกว่าเป็นโจทย์ที่ยาก และยังแทบมองไม่เห็น ‘แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’ ว่าจะกล่อมผู้ลงทุนรายไหนให้มีความกล้าและมั่นใจเพียงพอที่จะเข้ามารับบท ‘แบก’ ธุรกิจของกลุ่ม E@ ในเวลานี้
บรรดานักลงทุนที่จะตามแห่เก็งกำไรหุ้น E@ ควรคิดให้หลายตลบ และประเมินให้ชัดว่า E@ จะสามารถ ‘ฝ่าวิกฤต’ ครั้งนี้ได้จริง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรแน่นอนแบบนี้
ใครที่คิดว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงมาลึกมากจนชวนให้โดดเข้าไปเก็งกำไร โดยหวังว่าราคาจะกลับหัวขึ้น หรือฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ราว ‘นกฟินิกซ์’ ที่โผผินขึ้นมาจาก ‘เถ้าถ่าน’ คงต้องระวังที่จะกลายเป็นการพาตัว‘ดำดิ่ง’ลงไปในกองไฟแห่งความโลภ ที่จะจบลงด้วยการกลายเป็นเถ้าถ่าน...