มติเสียงข้างมากของศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 ที่ให้รับคำร้อง 40 สว.ไว้วินิจฉัยความสิ้นสุดลงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน หรือไม่ในวันนี้ พร้อมกับมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรอการวินิจฉัย
มติที่ออกมา ถือว่ามีความก้ำกึ่งอยู่มากสำหรับชะตากรรมการเมืองของคนชื่อเศรษฐา เพราะศาลท่านได้รับคำร้องไว้พิจารณา แต่ยังดีที่ ‘รอด’ ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างรอการวินิจฉัย
ต่อจากนี้ไปอีก 15 วัน นับจากวันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ต้องส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้จะพอมีเวลาได้ ‘หายใจหายคอ’ ขอขยายเวลายื่นคำชี้แจงได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้งก็ตาม แต่การใช้ชีวิตต่อจากนี้ของนายกฯ เศรษฐา คงเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยสะดวกนัก
เพราะถูกพันธนาการทางกฎหมายล่ามเอาไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ
ทีนี้ไปสแกนดูมติที่ออกมาทั้งสองครั้งกันหน่อย เพราะมีข้อชวนให้คิดตามอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะมติ 6 ต่อ 3 ที่ให้รับคำร้องไว้พิจารณา เมื่อนำไปเทียบกับมติ 5 ต่อ 4 ที่ไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ปรากฎว่า มติที่ออกมาไปในทิศทางเดียวกัน โดยในเสียงข้างมาก 5 เสียง ที่เห็นว่าไม่ควรสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นภดล เทพพิทักษ์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, อุดม รัฐอมฤต และสุเมธ รอยกุลเจริญ
ในจำนวนนี้มี 2 เสียง คือ นภดล และบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ที่อยู่ในเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ที่เห็นควรให้รับคำร้องไว้พิจารณา ส่วนอีก 3 คน เป็นเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการรับเรื่องไว้พิจารณาตั้งแต่ต้น
ส่วนเสียงข้างน้อย 4 คน ที่เห็นควรสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ได้แก่ ปัญญา อุดชาชน, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, วิรุฬห์ แสงเทียน และจิรนิติ หะวานนท์ ล้วนแต่เป็นเสียงข้างมากที่ให้รับคำร้องไว้พิจารณา
เมื่อเป็นดังนี้ ย่อมมองเห็นในเบื้องต้นได้ระดับหนึ่งว่า แม้จะให้รับคำร้องเอาไว้พิจารณามากถึง 6 เสียงก็ตาม แต่ในจำนวนนี้มี 2 เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
นั่นเท่ากับว่า หากจะให้ ‘ถอดรหัส’ จากตัวเลขมติศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ แม้จะให้รับคำร้องไว้พิจารณาก็ตาม แต่ดูจากน้ำหนักข้อกล่าวหาในเนื้อหาคำร้อง แสดงว่า ‘ยังไม่ถึงขั้นต้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่’ ไว้ก่อน
ทั้งนี้ เพราะการจะให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า
‘หากปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย..’
ดังนั้น มติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง ที่มีออกมา จึงเท่ากับเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าข้อกล่าวหาที่ร้องมานั้น ‘ยังไม่เข้าตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82’ ที่ต้องสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจึงเป็นมติ 6 ต่อ 3 เสียง ที่ให้รับคำร้องไว้พิจารณา แต่ในจำนวน 6 เสียงนั้น มี 2 เสียง ที่ไม่เห็นควรสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รวมอยู่ด้วย ส่วนอีก 3 เสียงนั้น ยืนหลักทั้งไม่ให้รับคำร้องไว้พิจารณาและไม่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
ย้อนไปดูคดียื่น ‘ถอดถอน’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี 2565 เพราะเป็นนายกฯเกิน 8 ปี ตอนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รับคำร้องไว้พิจารณา พร้อมกับสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน ด้วยมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง แต่หลังจากพิจารณาคำร้องเสร็จ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง วินิจฉัยให้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
กล่าวสำหรับคดีนายกฯ เศรษฐา ในพ.ศ.นี้ แม้จะเป็นการยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกัน และมีที่มาจากการเข้าชื่อของฝ่ายการเมืองเหมือนกัน เพียงแต่ต่างกันที่ครั้งนั้น เป็นการดำเนินการของ สส.ฝ่ายค้าน ครั้งนี้เป็นการขับเคลื่อนจากสมาชิกวุฒิสภา
เพราะฉนั้น ความต่างของทั้งสองเหตุการณ์ จึงอยู่ที่สาระการนำมาขับเคลื่อนของฝ่ายการเมือง ต้องการตรวจสอบเพื่อหาความชัดเจนในกติกาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น หรือมีอะไรที่มากกว่า โดยเฉพาะเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่มาจากรอบทิศทาง ตั้งปุจฉาถึงการยื่นถอดถอนนายกฯ เศรษฐา เที่ยวนี้ ‘มาจากปัจจัยภายในหรือภายนอก’ กันแน่
แต่ไม่ว่าจะมาจากไหน เมื่อขึ้นชื่อเป็นเรื่องการเมืองอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
เอาเป็นว่านายกฯ เศรษฐา คงต้องไปรอลุ้นเสียวในด่านสุดท้ายกันอีกรอบว่า ตัวเลข 6 ต่อ 3 หรือ 5 ต่อ 4 ในวันนี้ ถึงวันนั้นจะมีการขยับซ้าย ขยับขวาอีกหรือไม่