พรุ่งนี้การเมืองไทยจะก้าวไปสู่จุดไหน นาทีนี้คงไม่มีใครให้คำตอบได้ รู้แต่ว่าเริ่มมีเสียงบ่นแบบรำคาญเล็ดรอดออกมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะคำพูดของ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานหลักสูตรนิติศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ในวันก่อนที่ว่า
‘ผมว่าถ้าประชาธิปไตยมันเป็นแบบนี้ ผมเสนอท้ายที่สุดเลิกประชาธิปไตยมันเถอะ ถ้าประชาธิปไตยมันชั่วแบบนี้ เลิกประชาธิปไตยไปเถอะครับ’
รศ.ดร.เจษฎ์ เป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่มีส่วนในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และมีบทบาทร่วมแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด รศ.ดร.เจษฎ์ ขยับบทบาทออกมาอีกก้าว จากการให้ความเห็นผ่านรายการวิทยุ โทรทัศน์ เวทีสัมมนา มาร่วมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กับองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันก่อน โดยมาพร้อมกับคำพูดข้างต้นที่ประกาศต่อสาธารณะไว้
ถ้าประชาธิปไตยมันชั่วแบบนี้ เลิกประชาธิปไตยไปเถอะครับ!
นาทีนี้คงไม่ได้มีเฉพาะ ดร.เจษฎ์ คนเดียวที่คิดอย่างนี้ เพียงแต่อาจจะมีคนคิดอยู่ในใจหรือพูดคุยกันอยู่ในวงเล็กๆ ไม่กี่คน เสียงเลยดังอยู่ในที่อันจำกัดเท่านั้น หรือแม้แต่คำถามยอดฮิตที่ว่า
คนไทยยอมให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร (ว่ะ)
คำหลังนี้ ก็เริ่มพูดกัน‘หนาหู’ มากขึ้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ต่อไปคงจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากต้นตอของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข และอาจนำไปสู่การยกระดับความไม่พอใจขึ้นมาได้ในวันใดวันหนึ่ง
เมื่อถึงวันที่มีฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้น
ถ้าวันนั้นมาถึง อารมณ์ของคนในสังคมคงไม่ต่างกับป้าเสื้อแดง ที่ปาสิ่งของขึ้นบนเวทีปราศรัยที่ อ.กุมภวาปี จ.มหาสารคาม ในวันก่อนนั่นแหล่ะ
มีนักวิชาการท่านหนึ่งพูดเอาไว้ว่า วันนี้การเมืองไทย กำลังอยู่ในช่วงของการ‘สะสมความขัดแย้ง’ และผู้ที่เป็นต้นตอความชัดแย้งคือคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ประกาศจะกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ใช้ชีวิตในบั้นปลายกับครอบครัว หลังจากที่ระเหเร่ร่อนอยู่ต่างแดนนาน 17 ปี
แต่นับจาก 22 สิงหาคม 2566 ผ่านมาถึงวันนี้เป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน ที่ทักษิณกลับมาประเทศไทย นอกจากไม่ได้ทำตามที่พูดไว้แล้ว ยังพยายามสร้างระบอบทักษิณ 2 ขึ้น และดูจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ จนทำให้เกิดศัตรูเก่า-ใหม่ขึ้นมากมาย
เอาเป็นว่า การกลับมาในรอบนี้ของทักษิณ ได้เรียกศัตรูคู่แค้นเก่ากลับมารวมญาติกันอีกครั้ง ทั้งยังขยันเปิดแนวรบสร้างศัตรูใหม่เพิ่มขึ้นอีกไม่เว้นแต่ละวัน
จนกระแสความไม่พอใจต่อทักษิณ ที่มีอยู่เฉพาะในกลุ่มศัตรูเก่าและเฝ้ามองการกลับมาของทักษิณด้วยสายตาปริบๆ แบบจำยอมด้วยเหตุผลบางประการ
วันนี้ความรู้สึกที่ว่ากำลังขยายวงจากแม่น้ำสายเล็กๆ ซึ่งมีโอกาสจะก่อกำเนิดเป็นแม้น้ำร้อยสายขึ้น
จึงไม่แปลกหากจะเรียกสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงนี้เป็นการ สะสมความขัดแย้ง โดยเฉพาะมีตาน้ำใหญ่อยู่ที่ทักษิณเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการป่วยทิพย์ บ่อนกาสิโน พนันออนไลน์ สนามกอล์ฟอัลไพน์ ไปถึงอารมณ์เกรี้ยวกราดบนเวทีปราศรัย
รวมทั้ง ตำแหน่ง ส.ท.ร.ที่ตั้งขึ้นเอง จนกลายเป็นมีอำนาจล้นเหลือ ชนิดที่องค์กรอิสระบางแห่งต้องกลายเป็นองค์กร ‘อิสระหลวม’ขาดความน่าเชื่อถือจากสังคมไปโดยปริยาย
ทำให้ทักษิณที่มีเพียงตำแหน่งเดียวคือ ผู้ช่วยหาเสียง สามารถทะลวงไปได้ทุกจุด ไม่มีขอบเขตขัณฑสีมาใดมาเป็นเส้นแบ่ง เป็นทักษิณที่ไร้พรมแดนในทางการเมือง
พรุ่งนี้ หากทักษิณยังสนุกอยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่มีลดราวาศอก แบบ ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ’ สังคมก็คงจะสะสมความขัดแย้งจากสิบ เป็นร้อย และเป็นหลายๆ ร้อย เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดระเบิด หรือผ่อนคลายลงมาก่อนที่จะระเบิดเท่านั้นเอง
ที่ว่ามาทั้งหมด ก็เพื่อจะบอกว่า นับจากนี้ไปการเมืองจะเป็นช่วงสะสมความขัดแย้งไปอีกระยะหนึ่ง และรอวัดใจกันอีกครั้งว่า คนกดปุ่ม จะปล่อยให้ทักษิณเล่นบทนี้ไปอีกนานขนาดไหน
เอากันแค่พอเหมาะพอควร แล้วผ่อนสั้นผ่อนยาว ยืดหยุ่นให้อยู่ด้วยกันไปได้เรื่อยๆ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดที่ทางให้ทุกฝ่ายได้มีที่ยืนในสังคมด้วยกัน หรือจะปล่อยไปให้ถึงจุดระเบิดตูม แล้วค่อยมาจัดระเบียบสังคมกันใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายการเมืองไทยก็หนีไม่พ้น 3 ทางออกนี้ ขึ้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นแหล่ะ