การสั่งฟ้อง ทักษิณ ชินวัตร ในความผิดคดีมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทุกข้อกล่าวหา ไม่มีตกหล่นแม้แต่วงเล็บเดียว ของอัยการสูงสุดเมื่อวานนี้ ถือเป็นการหักปากกาเซียน ชนิดที่คาดไม่ถึงไปตาม ๆ กันว่าผลจะออกมาแบบนี้
เพราะต่างเชื่อโดยสนิทใจว่า ทุกอย่างได้ ‘จบ’ ลงตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่เหลือก็เปิดไฟเขียวผ่านตลอด
ทำให้คำสั่งฟ้องที่ออกมา ทั้งอารมณ์สังคมและการจับประเด็นของสื่อไหลไปในทางเดียวกันหมด นั่นคือ ‘ดีลลับผิดเหลี่ยม’ บ้าง ไปไกลถึงขนาดว่าไม่ใช่แค่ปั้นเรื่องป่วยติดเชื้อโควิดอย่างเดียว แต่ได้ใช้ช่องทางธรรมชาติ ‘เผ่นแน็บ’ หนีไปแล้วด้วยซ้ำ
แหม!! เพิ่งกลับมาแบบเท่ ๆ ได้ไม่ถึงปีแล้วจะหนีไปแบบหมดสภาพอีกได้อย่างไร?
แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน การสั่งฟ้องทักษิณเที่ยวนี้ของอัยการ นับเป็นคุณกับองค์กรมหาศาล เพราะนอกจากจะ ‘รอด’ จากถูกทัวร์ลง ยังได้รับคำชมที่ทำหน้าที่เป็น ‘เสาหลัก’ ยุติธรรมไทย รักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายในชั่วโมงนี้ไว้
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองก็ไปเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่อง หักดีลลับที่มีปัญหาไม่ลงตัวในเชิงอำนาจ บวกกับอารมณ์หมั่นไส้อีกในบางเรื่อง จึงต้องใช้คดีนี้เป็น ‘พันธนาการ’ ทางกฎหมายล่ามเอาไว้ก่อน ก็ให้ว่ากันไป
เพราะหากมองจากสิ่งที่เห็น ก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ เลยทำให้บรรดานักวิเคราะห์ระดับเซียนๆ ทั้งหลาย ต้องไป ‘ขุดรู’ อยู่ ทำตัวเป็นกบจำศีลกันสักพัก ตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าพรรษา อีกด้านก็เพิ่มน้ำหนักให้ปัญหาดีลลับกันไป
แต่ถ้าจะเผื่อใจกันเอาไว้บ้างว่า สิ่งที่เป็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็น ก็จะได้เห็นภาพอีกด้าน!!
ไม่ได้ ‘แทงกั๊ก’ หรือพูดจาให้ ‘กำกวม’ เข้าไว้ เพราะงานนี้ถ้าลำพังมีเรื่องสั่งฟ้องทักษิณคดีมาตรา 112 อย่างเดียว ก็พอมีน้ำหนักอยู่บ้างเรื่องหักดีลลับที่ว่า แต่ในจังหวะเวลาเดียวกันหันไปที่ทำเนียบรัฐบาลกลับมีชื่อ ‘วิษณุ เครืองาม’ เจ้าของฉายาเนติบริกร ปรากฎขึ้นในตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้ถูกส่งมารับจ๊อบสั้นๆ สู้คดีที่ถูกยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
แต่มาแบบเป็นซูเปอร์ที่ปรึกษา คอยกลั่นกรองงานในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ที่จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมทั้ง ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย พูดคุยงานราชการ ให้สัมภาษณ์ และเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เปิดทางโล่งให้ทำได้ทั้งหมด
ถ้านำสองเรื่องนี้มามัดรวมเข้าด้วยกัน ‘ทักษิณ-วิษณุ-เศรษฐา’ จะได้เห็นภาพการเมืองที่ใหญ่และชัดเพิ่มขึ้น
เท่ากับเป็นการตีธงให้สัญญาณนำรัฐนาวาเศรษฐา ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเดินหน้าไปต่อ ตรงไหนที่เป็นปัญหาโดยเฉพาะในเรื่องข้อกฎหมายที่ยังขาดๆ เกินๆ อยู่ จากนี้ไปจะได้ไม่มีปัญหาอีก รวมทั้งการสื่อสารกับส่วนราชการหลักๆ ที่ขาดตัวเชื่อม จากนี้ไปก็จะอยู่แบบไร้รอยต่อ
คนที่เป็นนายกฯ ไม่ต้องเสียเวลาหรือเปลืองตัวไปชนกับบางส่วนราชการเอง
ส่วนการสั่งฟ้องทักษิณคดีมาตรา 112 ก็ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ว่าไปยาวๆ 4-5 ปีตามครรลองของกฎหมาย ซึ่งหากมองในมุมนี้น่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะในคดีเดียวกันนี้น้อง ๆ กลุ่มเยาวชนหรือผู้ถูกกล่าวหาคนอื่น ๆ ล้วนได้ประกันตัวออกไปหมดแล้ว
แถมมีบางคนได้ประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในความผิดนี้
ดังนั้นสำหรับทักษิณที่ถูกสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ถึงวันนัดหมาย 18 มิถุนายน ถ้าหายจากอาการป่วยโควิด-19 หรือไม่มีเหตุอย่างอื่นแล้ว ก็ไปพบอัยการปกติ ส่งฟ้องเสร็จขอ ‘ยื่นประกันตัว’ และต่อสู้คดีตามกระบวนการทางกฎหมายไปเรื่อย ๆ
แค่นี้ก็สร้าง ‘สมดุล’ เกิดขึ้นในสังคมได้ ไม่ต้องไปเพิ่มเงื่อนไขเรื่องอภิสิทธิ์ชนให้ใครหมั่นไส้เหมือนที่ผ่านมาอีก รัฐบาลจะได้บริหารบ้านเมืองควบคู่ไปกับการบริหารอารมณ์สังคมไปพร้อมกัน
เรื่องของการเมืองมัน ‘ออกได้ทุกหน้า’ ยิ่งในพ.ศ.นี้ที่ทุกอย่างถูกมองเป็นละคร ยิ่งต้องดูกันยาว ๆ เพราะหนังเพิ่งจะเริ่มฉาย ยังเหลืออีกหลายม้วน เหมือนศาลที่ต้องสู้กันถึง 3 ศาล
เรื่องแบบนี้เผื่อ ๆ เอาไว้หน่อยคงไม่เสียหลาย จะได้ไม่ถูกหักปากกาเซียนกันตอนหลังอีก โดยเฉพาะภาพการเข้ามาของเนติบริกรในจังหวะนี้ น่าจะพอมองเห็นความลงตัวที่เป็นสมดุลทางการเมืองได้ไม่น้อย