ผุดทั้งเรือ ผุดทั้งตอ วิบาก “เรือล่องหน” โยงใยจนคดีแทบพลิก

19 มิ.ย. 2567 - 10:47

  • อิทธิฤทธิ์เรือล่องหนยังพ่นพิษ โผล่ทั้งเรือ โผล่ทั้งตอ

  • ไขปริศนาใครคือ “น.” ฝ่ายรับเคลียร์

the_karma_of_the_invisible_boat_SPACEBAR_Hero_f6c80cdd4e.jpg

อิทธิฤทธิ์เรือล่องหนยังพ่นพิษ โผล่ทั้งเรือ โผล่ทั้งตอ ไขปริศนาใครคือ “น.” ฝ่ายรับเคลียร์

เรือน้ำมันทั้ง 3 ลำที่โผล่มาให้จับกลางทะเล หลังหายไปนานกว่าสัปดาห์ ยังคงแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อเนื่อง ทั้งน้ำมันที่ถูกดูดหายไปจากเรือ และสภาพเรือที่ดูเหมือนจะมีการดัดแปลง จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรือลำเดิมทั้ง 3 ลำหรือไม่ และสุดท้าย ใครคือเจ้าของเรือทั้งหมด

แต่ถ้าจะตามข้อมูลให้สนุก คดีนี้ต้องแบ่งออกเป็น 2 คดี

คดีแรก เป็นคดีที่ตำรวจกองปราบและตำรวจน้ำ จับและตรวจยึดเรือน้ำมันทั้ง 5 ลำ ขณะลอยลำอยู่กลางทะเลใกล้แท่นขุดเจาะน้ำมันจัสมิน และนำเรือของกลางพร้อมน้ำมันทั้งหมดมาจอดเทียบท่าบริเวณท่าเทียบเรือน้ำสัตหีบ ก่อนจะหายไปเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2567

the_karma_of_the_invisible_boat_SPACEBAR_Photo04_1d83b18261.jpg
ตำรวจน้ำเข้าจับกุมเรือบรรทุกน้ำมันล่องหนที่คาดว่าเป็นของ “โจ้ ปัตตานี” เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567

คดีที่สอง เป็นคดีลักทรัพย์ของกลาง ที่มีการแอบนำเรือของกลางหายไปขณะจอดลอยลำกลางทะเลตรงข้ามสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ และมาถูกจับได้เมื่อคืนวันที่ 17 มิถุนายน 2567 ขณะแล่นเรือกลับเข้ามาในน่านน้ำไทย

ทั้งสองคดี มีตัวละครเดียวกันตามการสรุปของ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ระบุว่า จากการสอบปากคำลูกเรือที่ถูกจับได้ มีข้อมูลว่า เรือทั้ง 3 ลำมีความเกี่ยวข้องกับ “โจ้ ปัตตานี” หรือ “โจ้ น้ำมันเถื่อน” โดยมีนายเล็ก เป็นผู้จัดการในการประสานงานทั้งหมด

the_karma_of_the_invisible_boat_SPACEBAR_Photo01_9aaa84d20c.jpg
“บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

คดีหลังน่าจะได้ข้อยุติที่การจับและตรวจยึดเรือทั้ง 3 ลำ พร้อมลูกเรือที่เหลือเพียง 8 คน เพราะไม่มีความซับซ้อน เนื่องจากเป็นคดีลักทรัพย์ของกลาง และยักยอกทรัพย์ของกลาง คือ ยักยอกน้ำมันเถื่อนไปจำหน่าย

แต่ประเด็นเบื้องหลังของคดีเรือหายทั้ง 3 ลำ ความซับซ้อนอยู่ที่คดีแรก เพราะถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม “ตำรวจ ปอศ.” หรือ “ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ถึงส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอความเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่

และทำไมอัยการสูงสุดถึงมีความเห็นกลับมาว่า คดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร จนอัยการต้องเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวนในคดี

ปริศนาของคดีที่หนึ่ง ถูกเฉลยจาก วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย” ว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่การจับเรือทั้ง 5 ลำในครั้งแรกว่า พิกัดที่จับอยู่บริเวณไหนกันแน่ และอยู่ในเขตน่านน้ำไทยหรือไม่

the_karma_of_the_invisible_boat_SPACEBAR_Photo02_ad1c3e0890.jpg
วัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ทำไมพนักงานสอบสวน จึงตั้งข้อหาในคดีนี้ เป็นความผิดฐานพยายามนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ โดยไม่เสียภาษีอากร ซึ่งเป็นข้อหาที่ไม่เคยใช้มาก่อนในการจับเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนทุกคดี เพราะความผิดฐานพยายามนำเข้า เป็นความผิดที่มีน้ำหนักเบามาก และไม่ควรจะเกิดขึ้น

รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดบอกว่า พิกัดในการจับหมิ่นเหม่ที่จะไม่อยู่ในเขตน่านน้ำไทย พนักงานสอบสวนถึงตั้งข้อหาเป็นความผิดฐานพยายาม และอัยการจำเป็นต้องเดินทางไปตรวจพิกัดจุดที่จับกุมในพื้นที่จริง เพื่อพิสูจน์ว่า เป็นพิกัดที่อยู่ในน่านน้ำไทยหรือไม่ และหากอยู่นอกน่านน้ำ ไทย ประเด็นทางคดีก็จะเปลี่ยนทันที

ข้อสังเกตของรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ตรงกับข้อมูลที่วงการค้าน้ำมันเถื่อนระบุว่า การจับกุม และการขโมยเรือของกลางครั้งนี้ เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง “บิ๊กก้อง” พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ “เสี่ยโจ้”

การจับที่หมิ่นเหม่จะเป็นการจับนอกน่านน้ำ เป็นประเด็นแรกที่ต้องเคลียร์ว่า ข้อมูลจากการสืบสวนมาจากไหน มีรายละเอียดอย่างไร เพราะเป็นการสนธิกำลังระหว่างตำรวจกองปราบและตำรวจน้ำ ซึ่งหมายถึงต้องมีข้อมูลการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนที่ชัดเจน พอที่จะสนธิกำลังออกไปไล่ล่าจับกุม

คนในวงการค้าน้ำมันเถื่อนรู้ดีว่า “โจ้ ปัตตานี” ค้าน้ำมันเถื่อนเฉพาะกลางทะเล และใช้การลำเลียงผ่านน่านน้ำสากล เพื่อส่งตรงไปยังประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น “โจ้” จะไม่ค้าน้ำมันเถื่อนเข้ามาในเขตน่านน้ำไทย เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับ และเสี่ยงต่อการผิดใจกับผู้ใหญ่ในวงการ

การจับรอบนี้ ทำให้คนในวงการประหลาดใจตั้งแต่ต้น เพราะหากเป็นจริง ก็จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ “โจ้” นำน้ำมันเถื่อนเข้ามาในประเทศ

the_karma_of_the_invisible_boat_SPACEBAR_Photo03_922d0e48be.jpg
ตำรวจ ปอศ. เข้าพบอัยการเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567

หลังการจับกุม “โจ้” มีความพยายามส่งคนเข้ามาเจรจาผ่าน เจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่า “น.” ซึ่งทำหน้าที่ดูแลประสานงานหน่วยงานกลางทะเลทั้งหมด เพื่อขอเคลียร์ว่า ทำไมจึงมีการจับเรือทั้ง 3 ลำ และจะมีการตกลงเพื่อขอเรือคืนได้หรือไม่ แต่ “น.” ขอบายงานนี้ เพราะไม่สามารถรับเจรจาเคลียร์ให้ได้ ปฏิบัติการขโมยเรือจึงเกิดขึ้น 

แม้แต่การปล่อยเรือทั้ง 3 ลำกลับมาให้จับ ก็ถูกตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เป็นการเอาคืนจาก “โจ้” หรือไม่ เพราะเรือที่ถูกจับได้ เป็นเรือเกือบเปล่าที่มีการสูบน้ำมันออกไปขายจนหมด แถมเรือบางลำก็ยังเป็นปริศนาว่า ใช่เรือ 3 ลำเดิมหรือไม่ หรือมีการดัดแปลงเรือลำอื่นที่ใกล้หมดสภาพมาให้จับ เพราะบางลำมีลักษณะของการทาสีเรือใหม่ และเรือบางลำ เสียหายจนต้องลากจูงกลับมา ทั้งที่เรือเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้ เพราะเป็นเรือที่ใช้ในการทำรายได้

เรือ 3 ลำที่โผล่มารอบนี้ จึงโผล่มา “ทั้งเรือ” โผล่มา “ทั้งตอ” เข้าทำนอง น้ำยังไม่ทันลด แต่ตอผุดขึ้นมาก่อน

ปริศนาเรือหายรอบนี้ จึงไม่ใช่แค่เพียง “ใครขโมยเรือ” และเส้นทางการหลบหนีมีใครเกี่ยวข้อง แต่ต้องไขปริศนาไปถึง “ใครขัดแย้งกับใคร” และทำไมการจับเรือรอบนี้ จึงหมิ่นเหม่ต่อการจับนอกราชอาณาจักร

ประการสุดท้าย ใครคือ “น.” ที่เป็นคนกลาง คอยรับเคลียร์ทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์เทาๆกลางทะเล หลังหมดยุคผู้การสืบ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ ที่โด่งดังในอดีต

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์