ไม่เหนือความคาดหมายสำหรับการแถลงข่าวของ วิษณุ เครืองาม กรณีผลการสอบสวน “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการปล่อยข้อมูลเป็นการโยนหินถามทางมาเป็นระยะ…
รวมทั้งท่าทีของ ป.ป.ช.ที่ระบุว่า การแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ “บิ๊กต่อ” ที่ผ่านมายังไม่ครบ 3 ปี ดังนั้น การที่ยังไม่แจ้งการครอบครองบ้าน ทั้งในไทยและที่อังกฤษ ยังไม่ถือว่า เป็นการปกปิดบัญชีทรัพย์สิน “บิ๊กต่อ” ยังสามารถแจ้งได้ เมื่อครบ 3 ปีที่จะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินใหม่

เมื่อไม่ปรากฏชัดถึงความผิดที่มีการกล่าวหา สำนักนายกรัฐมนตรีก็ทำได้อย่างเดียว คือ ส่งตัวกลับไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนประเด็นทางวินัย หรือความผิดอื่นๆ ก็ให้เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปดำเนินการต่อ
ส่วนกรณี “บิ๊กโจ๊ก” ก็ส่งตัวกลับไปก่อนแล้ว ไม่อยู่ในเงื่อนไขการดำเนินการของสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็มีข้อความทิ้งท้ายว่า ขอให้ทั้งคู่กลับไปสร้างความรอมชอม และยุติความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“อาจารย์วิษณุ” ยังตอบคำถามนักข่าวถึงอนาคตของ “บิ๊กโจ๊ก” ว่า ยังมีโอกาสที่จะเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้หรือไม่ โดยยืนยันว่า คำสั่งให้ออกจากราชการของ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่สมบูรณ์ เพราะกระบวนการไม่ถูกต้อง

ดังนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ยังมีโอกาสที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ แม้จะมีข้อกล่าวหา เพราะใน พรบ.ตำรวจฉบับใหม่ เขียนระบุว่า ไม่ให้นำสาเหตุนี้มากำหนดไม่ให้บุคคลได้รับการพิจารณาในการดำรงตำแหน่ง
ถ้อยแถลงของ “อาจารย์วิษณุ” เรียกว่า เคลียร์คัทจัดเต็มทุกข้อกฎหมาย ครบถ้วนทุกกระบวนความ สมกับเป็น “ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี” ที่สามารถออกมาชี้แจงและตอบแทนนายกรัฐมนตรีได้แบบหมดจด

ท่าทีของ “อาจารย์วิษณุ” ทำให้นับจากนี้เหลือเพียงนายกรัฐมนตรีลงนามในคำสั่งส่งตัว **“บิ๊กต่อ”**กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น “บิ๊กต่อ” ก็จะกลับมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มตัวอีกครั้ง
ส่วนจะนั่งในตำแหน่งนี้ต่อเนื่องจนเกษียณในเดือนตุลาคมนี้หรือไม่ หลายฝ่ายเชื่อว่า “บิ๊กต่อ” จะไม่อยู่ในตำแหน่งจนถึงวันเกษียณอายุแน่นอน โดยเชื่อว่า น่ามี 2 แนวทางที่ “บิ๊กต่อ” คิดไว้ในใจ คือ
ประการหนึ่ง กลับมาดำรงตำแหน่ง “ผบ.ตร.” เพื่อรอคำสั่งพิเศษไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ โดยไม่ต้องรอเกษียณอายุ
หรือ ประการที่สอง ตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณ เพื่อเคลียร์ตัวเอง
ทั้งสองประการ คนใกล้ชิด “บิ๊กต่อ” เชื่อว่าประการแรกน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะเป็นเส้นทางที่วางกันไว้ตั้งแต่ต้น

ส่วนแนวทางการ “ลาออก” เป็นไปได้น้อยมาก เพราะหากเลือกแนวทางนั้น “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก็ไม่สามารถกลับเข้าเส้นทางเดิมที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะเมื่อลาออกก็จะสิ้นสุดอายุราชการทันที ไม่สามารถโอนย้ายไปสังกัดหน่วยงานสำคัญดังกล่าวได้
เพราะนายตำรวจ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนาย ที่เข้าไปดำรงตำแหน่ง และปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ว่า ทุกคนจะโอนย้ายไปก่อนเกษียณอายุราชการทั้งสิ้น
บางรายโอนย้ายก่อนเกษียณเพียง 2 วัน บางรายโอนย้ายก่อนเกษียณเกือบเดือน แล้วแต่จะมีคำสั่งโอนย้ายลงมาเมื่อใด
ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือจะต้องโอนย้ายก่อนเกษียณอายุราชการเท่านั้น เพื่อให้การรับราชการต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเกษียณเมื่ออายุครบ 60 ปี

นอกจากนั้นก็ต้องรอดูว่า การกลับมานั่งตำแหน่งผบ.ตร.ของ “บิ๊กต่อ” จะมีนัยยะสำคัญต่อคำสั่งให้ออกจากราชการของ “บิ๊กโจ๊ก” หรือไม่
เพราะในฐานะผบ.ตร. “บิ๊กต่อ” มีอำนาจเต็ม ที่จะออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมของ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ที่ลงนามในฐานะผู้รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ได้
ภารกิจกลับมาสร้างความรอมชอม และยุติความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติของ “บิ๊กต่อ” น่าจะเริ่มต้นจากจุดนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายกลับไปเริ่มต้นกันใหม่
คดีที่ค้างคา ก็ว่ากันไปตามหลักฐาน ส่วนคำสั่งไหน หรือความขัดแย้งตรงไหนที่ไม่ถูกไม่ต้อง ก็แก้ไขให้ถูกต้อง
ทั้งหมดน่าจะเป็นภารกิจใหญ่ของ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ที่จะแก้ตัวและกู้ภาพลักษณ์ในฐานะผู้นำตำรวจได้อย่างชัดเจนที่สุด