ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลายคนมองว่า การมีเซ็กซ์แบบรุนแรง รวมไปถึงมีการใช้อุปกรณ์อย่าง โซ่ แส้ กุญแจมือ เทียนไข เป็นการร่วมรักที่เกิดจากสภาวะทางจิตใจจากเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต แท้จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น การมีเซ็กส์ที่ดูรุนแรงและเต็มไปด้วยการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น เราเรียกว่า รสนิยมทางเพศแบบ BDSM
โดย BDSM ย่อมาจากคำว่า Bondage (พันธนาการ) Discipline (การลงโทษ) Dominance (การควบคุม) Submission (การยอมจำนน) Sadism (ความสุขจากการสร้างความรุนแรง) Masochism (ความสุขจากการได้รับความรุนแรง)
ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีหลักฐานวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งพบว่า รสนิยมทางเพศแบบ BDSM เป็นเพียงรสนิยมทางเพศแบบหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตจากเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตเสมอไป และมีคนอีกไม่น้อยที่มีรสนิยมทางเพศรูปแบบนี้ และในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังบ่งบอกอีกว่า BDSM อาจส่งผลดีต่อสภาพจิตและความสัมพันธ์ หากทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจในความหมายที่แท้จริง
BDSM คือการสวมบทบาทในระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศ โดยการสวมบทบาทมักจะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกจัดเป็นกลุ่มของผู้ควบคุมหรือผู้ถืออำนาจ (Dominant) และ ซาดิสต์ (Sadist) หรือผู้ที่ชอบความรุนแรง ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นฝ่ายที่ออกคำสั่ง ลงโทษ และพันธนาการอีกฝ่าย และอีกฝ่ายเป็นผู้ที่ถูกควบคุมหรือผู้อยู่ใต้การควบคุม (Submissive) ผู้ที่ชอบถูกกระทำด้วยความรุนแรง และ มาโซคิสต์ (Masochist)
และการสวมชุดที่มีบทบาทเช่น หมอกับคนไข้ หรือ ตำรวจกับผู้ร้าย เจ้านายกับทาส และอื่นๆ อีกมากมายนั้น ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมของ BDSM เช่นกัน แต่แม้ว่า BDSM จะมีการมัด การกักขัง และการใช้ความรุนแรง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการสวมบทบาทที่เกิดจากความยินยอมและตั้งอยู่บนขอบเขตที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกัน และในบางครั้งหลังเสร็จกิจกรรมอาจมีการพูดคุยระหว่างสองฝ่ายถึงความพึงพอใจเพื่อป้องกันปัญหาด้านความสัมพันธ์ ร่างกาย หรือความรู้สึก หรือที่เรียกว่า Care after Sex นั่นเอง
สำหรับการเพิ่มสีสันให้ชีวิตเซ็กซ์ด้วยกิจกรรมแบบ BDSM นั่น เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลักการ 3 สิ่งควบคู่ไปด้วย สิ่งแรกคือ ความปลอดภัย (Safe) เพราะ BDSM มักมีกิจกรรมที่มีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การลงโทษ การมัดร่างกาย รวมถึงกิจกรรมโลดโผนในรูปแบบที่รุนแรงกว่าที่หลายคนจินตนาการ อย่างการจำกัดการหายใจ (Breath Control) หรือการบีบคอ (จริงๆ แล้วคือการออกแรงบีบใต้สันกราม) ดังนั้นการคำนึงถึงความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
และในเรื่องของความปลอดภัย ควรจะมีขอบเขตของการกระทำ อะไรที่ทำได้และทำไม่ได้ และ Safe Word หรือคำที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเพื่อแสดงความต้องการที่จะหยุดหรือทำกิจกรรมต่อ ซึ่งสามารถกำหนดขึ้นมาเองด้วยคำง่ายๆ เช่น เสือ ที่อาจจะหมายถึงให้หยุดกิจกรรมชั่วคราว และ แมว ที่อาจจะสื่อสามารถสานต่อความเร้าร้อนต่อได้
สิ่งที่ 2 คือ สติ (Sane) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่นตามขอบเขตและข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย เพราะแม้ว่าเซ็กส์จะเป็นเรื่องของความต้องการทางอารมณ์ แต่ถ้าหากไม่มีสติคอยกำกับก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของอุบัติเหตุและโรคติดต่อได้ หากระหว่างทำกิจกรรมแล้วรู้สึกไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ รู้สึกหมกมุ่นกับความรุนแรงหรือพฤติกรรมดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานาน นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติเกี่ยวกับอารมณ์และจิตใจ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
และสิ่งสุดทายคือ ความยินยอม (Consensual) จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมแบบ BDSM เพราะหากไม่ได้รับการยินยอมจากอีกฝ่าย กิจกรรมเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากการคุกคามทางเพศและอาชญากรรม ซึ่งอาจหมายถึงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและความผิดปกติทางเพศด้วย
ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวควรตั้งอยู่บน 3 สิ่งสำคัญที่กล่าวมา และควรมั่นใจและแน่ใจว่าความเจ็บปวดและรูปแบบของกิจกรรมดังกล่าวนั้นทำให้คุณเกิดความสุขและพึงพอใจจริงๆ โดยไม่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ และมีการกระทบต่อความสัมพันธ์กันในภายหลัง
โดย BDSM ย่อมาจากคำว่า Bondage (พันธนาการ) Discipline (การลงโทษ) Dominance (การควบคุม) Submission (การยอมจำนน) Sadism (ความสุขจากการสร้างความรุนแรง) Masochism (ความสุขจากการได้รับความรุนแรง)
ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีหลักฐานวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งพบว่า รสนิยมทางเพศแบบ BDSM เป็นเพียงรสนิยมทางเพศแบบหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ความผิดปกติทางจิตจากเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตเสมอไป และมีคนอีกไม่น้อยที่มีรสนิยมทางเพศรูปแบบนี้ และในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังบ่งบอกอีกว่า BDSM อาจส่งผลดีต่อสภาพจิตและความสัมพันธ์ หากทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจในความหมายที่แท้จริง
BDSM คือการสวมบทบาทในระหว่างการทำกิจกรรมทางเพศ โดยการสวมบทบาทมักจะแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกจัดเป็นกลุ่มของผู้ควบคุมหรือผู้ถืออำนาจ (Dominant) และ ซาดิสต์ (Sadist) หรือผู้ที่ชอบความรุนแรง ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นฝ่ายที่ออกคำสั่ง ลงโทษ และพันธนาการอีกฝ่าย และอีกฝ่ายเป็นผู้ที่ถูกควบคุมหรือผู้อยู่ใต้การควบคุม (Submissive) ผู้ที่ชอบถูกกระทำด้วยความรุนแรง และ มาโซคิสต์ (Masochist)
และการสวมชุดที่มีบทบาทเช่น หมอกับคนไข้ หรือ ตำรวจกับผู้ร้าย เจ้านายกับทาส และอื่นๆ อีกมากมายนั้น ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมของ BDSM เช่นกัน แต่แม้ว่า BDSM จะมีการมัด การกักขัง และการใช้ความรุนแรง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการสวมบทบาทที่เกิดจากความยินยอมและตั้งอยู่บนขอบเขตที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกัน และในบางครั้งหลังเสร็จกิจกรรมอาจมีการพูดคุยระหว่างสองฝ่ายถึงความพึงพอใจเพื่อป้องกันปัญหาด้านความสัมพันธ์ ร่างกาย หรือความรู้สึก หรือที่เรียกว่า Care after Sex นั่นเอง
สำหรับการเพิ่มสีสันให้ชีวิตเซ็กซ์ด้วยกิจกรรมแบบ BDSM นั่น เพื่อความปลอดภัยควรใช้หลักการ 3 สิ่งควบคู่ไปด้วย สิ่งแรกคือ ความปลอดภัย (Safe) เพราะ BDSM มักมีกิจกรรมที่มีความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การลงโทษ การมัดร่างกาย รวมถึงกิจกรรมโลดโผนในรูปแบบที่รุนแรงกว่าที่หลายคนจินตนาการ อย่างการจำกัดการหายใจ (Breath Control) หรือการบีบคอ (จริงๆ แล้วคือการออกแรงบีบใต้สันกราม) ดังนั้นการคำนึงถึงความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
และในเรื่องของความปลอดภัย ควรจะมีขอบเขตของการกระทำ อะไรที่ทำได้และทำไม่ได้ และ Safe Word หรือคำที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเพื่อแสดงความต้องการที่จะหยุดหรือทำกิจกรรมต่อ ซึ่งสามารถกำหนดขึ้นมาเองด้วยคำง่ายๆ เช่น เสือ ที่อาจจะหมายถึงให้หยุดกิจกรรมชั่วคราว และ แมว ที่อาจจะสื่อสามารถสานต่อความเร้าร้อนต่อได้
สิ่งที่ 2 คือ สติ (Sane) เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่นตามขอบเขตและข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย เพราะแม้ว่าเซ็กส์จะเป็นเรื่องของความต้องการทางอารมณ์ แต่ถ้าหากไม่มีสติคอยกำกับก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของอุบัติเหตุและโรคติดต่อได้ หากระหว่างทำกิจกรรมแล้วรู้สึกไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ รู้สึกหมกมุ่นกับความรุนแรงหรือพฤติกรรมดังกล่าวติดต่อกันเป็นเวลานาน นั่นอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติเกี่ยวกับอารมณ์และจิตใจ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
และสิ่งสุดทายคือ ความยินยอม (Consensual) จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมแบบ BDSM เพราะหากไม่ได้รับการยินยอมจากอีกฝ่าย กิจกรรมเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากการคุกคามทางเพศและอาชญากรรม ซึ่งอาจหมายถึงการถูกดำเนินคดีตามกฎหมายและความผิดปกติทางเพศด้วย
ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวควรตั้งอยู่บน 3 สิ่งสำคัญที่กล่าวมา และควรมั่นใจและแน่ใจว่าความเจ็บปวดและรูปแบบของกิจกรรมดังกล่าวนั้นทำให้คุณเกิดความสุขและพึงพอใจจริงๆ โดยไม่ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ และมีการกระทบต่อความสัมพันธ์กันในภายหลัง
