โลกของเราตอนนี้ นับว่าเข้าสู่โลกของยุคดิจิทัลเต็มตัวแล้ว มองไปทางไหน ก็จะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คอนอำนวยความสะดวกอยู่ทั่วไปหมด ยังไม่รวมไปถึงในตอนนี้ ที่กำลังมีการพัฒนาระบบ AI หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ ให้มีความฉลาดและตอบสนองการใช้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่สามารถคิดและตัดสินแทนคนได้ และคาดว่าจะมีให้ใช้ในไม่ช้านี้ แบบสมบูรณ์แบบ
และแน่นอน เมื่อพูดถึงโลกดิจิทัล หลายๆ คนนึกถึงโลกออนไลน์ที่ผู้คนมากมาย ได้ในโลกออนไลน์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสังคมที่ไม่เห็นหน้า หรือตัวตน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมคเฟรน รวมถึงตามหัวใจกันในโลกออนไลน์ด้วย
ซึ่งสังคมในโลกออนไลน์ หรือ ที่เรียกกัน โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น กำลังทำให้ใครหลายคน กลายเป็นโรคขาดโทรศัพท์ไม่ได้ หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Nomophobia ซึ่งมาจากคำว่า No Mobile ที่แปลว่า ไม่มีโทรศัพท์ และ Phobia ที่แปลว่าโรคกลัวนั่นเอง
แต่แท้จริงแล้ว โรค Nomophobia นั้นไม่ได้จัดอยู่ในโรคกลัวอย่างที่ใครๆ เข้าใจ แต่จัดเป็นกลุ่มอาการความผิดปกติทางกับจิตใจและอารมณ์รูปแบบหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัยนั่นเอง สำรวจง่ายๆ คือ หากรู้สึกว่าการหยุดใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องยากหรือก่อให้เกิดความกังวลใจ นั่นก็เตรียมเข้าพบแพทย์ได้เลย
ซึ่งพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้ที่จะเป็น Nomophobia นั่นประกอบด้วย
สำหรับการรักษาอาการและพฤติกรรมที่กำลังเป็น สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากคิดว่า ไม่สามารถยับยั้ง และช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากการติดโทรศัพท์มือถือได้ การพบแพทย์เพื่อรับการบำบัดหรือใช้ยา ก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะสม
ส่วนใครที่คิดว่า ตัวเองเข้าข่ายเป็น Nomophobia แน่ๆ อยากจะทดลองควบคุมและปรับพฤติกรรมตัวเองก่อนก็สามารถทำได้ดังนี้
และแน่นอน เมื่อพูดถึงโลกดิจิทัล หลายๆ คนนึกถึงโลกออนไลน์ที่ผู้คนมากมาย ได้ในโลกออนไลน์เป็นอีกหนึ่งกลุ่มสังคมที่ไม่เห็นหน้า หรือตัวตน เพื่อพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เมคเฟรน รวมถึงตามหัวใจกันในโลกออนไลน์ด้วย
ซึ่งสังคมในโลกออนไลน์ หรือ ที่เรียกกัน โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น กำลังทำให้ใครหลายคน กลายเป็นโรคขาดโทรศัพท์ไม่ได้ หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Nomophobia ซึ่งมาจากคำว่า No Mobile ที่แปลว่า ไม่มีโทรศัพท์ และ Phobia ที่แปลว่าโรคกลัวนั่นเอง
แต่แท้จริงแล้ว โรค Nomophobia นั้นไม่ได้จัดอยู่ในโรคกลัวอย่างที่ใครๆ เข้าใจ แต่จัดเป็นกลุ่มอาการความผิดปกติทางกับจิตใจและอารมณ์รูปแบบหนึ่ง ที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัยนั่นเอง สำรวจง่ายๆ คือ หากรู้สึกว่าการหยุดใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องยากหรือก่อให้เกิดความกังวลใจ นั่นก็เตรียมเข้าพบแพทย์ได้เลย
ซึ่งพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้ที่จะเป็น Nomophobia นั่นประกอบด้วย
- นำโทรศัพท์มือถือมาไว้ใกล้ตัวตลอดเวลาตั้งแต่เวลาตื่นจนถึงเวลานอน
- ใช้เวลาไปกับการเล่นโทรศัพท์มือถือหลายชั่วโมงต่อวัน พกโทรศัพท์มือถือติดตัวอยู่ตลอดแม้กระทั่งตอนเข้าห้องน้ำหรือขณะอาบน้ำ
- หากไม่มีโทรศัพท์มือถือจะเกิดความรู้สึกไร้ที่พึ่ง
- เช็กโทรศัพท์หลายครั้งต่อวันหรืออย่างสม่ำเสมอว่ามือถือยังทำงานได้ปกติและไม่พลาดการแจ้งเตือนต่างๆ
สำหรับการรักษาอาการและพฤติกรรมที่กำลังเป็น สามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากคิดว่า ไม่สามารถยับยั้ง และช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากการติดโทรศัพท์มือถือได้ การพบแพทย์เพื่อรับการบำบัดหรือใช้ยา ก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะสม
ส่วนใครที่คิดว่า ตัวเองเข้าข่ายเป็น Nomophobia แน่ๆ อยากจะทดลองควบคุมและปรับพฤติกรรมตัวเองก่อนก็สามารถทำได้ดังนี้
- หยุดใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเวลาสั้นๆ โดยอาจลองไม่พกโทรศัพท์มือถือติดตัวเมื่อออกจากบ้านไปซื้อของในร้านชำหรือเดินเล่นนอกบ้าน
- จำกัดเวลาการใช้เทคโนโลยีในแต่ละวัน สร้างวินัยในการใช้มือถือ จัดสรรเวลาการใช้มือถือติดต่อกับคนอื่นหรือการทำกิจกรรมต่างๆ เท่าที่จำเป็น ลองหาเวลาทำกิจกรรมอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น การเดินเล่น อ่านหนังสือ หรือนั่งเฉยๆ เป็นต้น
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ ปิดหรือไม่ใช้โทรศัพท์มือถือในตอนกลางคืน หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อตั้งนาฬิกาปลุก ควรวางมือถือไว้ห่างตัวในระยะที่ไม่สามารถหยิบมาเล่นได้
- แบ่งเวลาและหยุดการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างวัน เพื่อเพิ่มการสนทนาแบบตัวต่อตัวให้มากขึ้น
- สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลใกล้ตัวและกระตุ้นผู้คนรอบข้างให้ใช้เวลาร่วมกัน เช่น การพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน เป็นต้น