โรค PID หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ซึ่ง PID ย่อมาจากคำว่า Pelvic Inflammatory Disease เป็นภาวะที่ระบบสืบพันธุ์ส่วนบนของเพศหญิง ประกอบด้วย มดลูก, ท่อนำไข่, รังไข่, เยื่อบุช่องท้องอุ้งเชิงกราน เกิดการติดเชื้อ ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มักติดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน หรือมีเพศสัมพันธ์ที่มากเกินไป ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบในผู้หญิงได้
และถ้าหากร่างกายได้รับการติดเชื้อไปแล้ว และไม่ได้มีการรักษาที่ถูกต้องหรือไร้การรักษา จะทำให้เกิดการแพร่กระจายเข้าสู่ระบบสืบพันธุ์ส่วนบนที่อยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ส่งผลให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามมา เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ตกขาวภายในมดลูกได้
สาเหตุของภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบนี้ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่าง ‘เชื้อคลาไมเดีย’ และ ‘เชื้อหนองใน’ ซึ่งขึ้นไปจากช่องคลอด ผ่านปากมดลูกขึ้นไปในมดลูก ท่อนำไข่และรังไข่ ก่อนที่จะกระจายไปติดเชื้ออวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ในบางกรณี อาจพบหลังการแท้งบุตร หรือการคลอดบุตร หรือที่พบได้ไม่บ่อย คือ หลังการใส่ห่วงอนามัยหรือใส่เครื่องมือแพทย์บางอย่าง
และโดยทั่วไปแล้ว สามารถพบโรคนี้ได้ร้อยละ 5-20 ของผู้ป่วยนรีเวชที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล และพบโรคนี้สูงสุดในช่วงอายุ 15-24 ปี คิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ซึ่งภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ยังสามารถมีภาวะอื่นๆ แทรกซ้อนได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาจจะมีฝีหนองคั่งเป็นก้อนบริเวณปีกมดลูกและอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือรักษาอย่างไม่เพียงพอ ก้อนหนองอาจทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น รวมทั้งอาจจะเกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีบุตรยากหรือเป็นหมัน และตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย
และถ้าหากร่างกายได้รับการติดเชื้อไปแล้ว และไม่ได้มีการรักษาที่ถูกต้องหรือไร้การรักษา จะทำให้เกิดการแพร่กระจายเข้าสู่ระบบสืบพันธุ์ส่วนบนที่อยู่บริเวณอุ้งเชิงกราน ส่งผลให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตามมา เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ตกขาวภายในมดลูกได้
สาเหตุของภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบนี้ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอย่าง ‘เชื้อคลาไมเดีย’ และ ‘เชื้อหนองใน’ ซึ่งขึ้นไปจากช่องคลอด ผ่านปากมดลูกขึ้นไปในมดลูก ท่อนำไข่และรังไข่ ก่อนที่จะกระจายไปติดเชื้ออวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ในบางกรณี อาจพบหลังการแท้งบุตร หรือการคลอดบุตร หรือที่พบได้ไม่บ่อย คือ หลังการใส่ห่วงอนามัยหรือใส่เครื่องมือแพทย์บางอย่าง
และโดยทั่วไปแล้ว สามารถพบโรคนี้ได้ร้อยละ 5-20 ของผู้ป่วยนรีเวชที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล และพบโรคนี้สูงสุดในช่วงอายุ 15-24 ปี คิดเป็นร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั้งหมด
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอุ้งเชิงกรานอักเสบ ประกอบด้วย
- มีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนมีคู่นอนหลายคน
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่า ฝ่าไฟแดง
- มีเพศสัมพันธ์มากเกินไป หรือถี่ครั้งมากเกินไป ซึ่งในกลุ่มคนอายุ 25-30 ปี ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เกิน 7-8 ครั้งต่อเดือน
- ทำการสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างเชื้อแบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์และชนิดเป็นอันตรายในบริเวณช่องคลอด
- มีประวัติการเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
- เกิดจากการทำหัตถการที่ไม่สะอาด เช่น การคลอดบุตร การแท้งบุตร การขูดมดลูก และการใส่ห่วงคุมกำเนิด
ซึ่งภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ยังสามารถมีภาวะอื่นๆ แทรกซ้อนได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น อาจจะมีฝีหนองคั่งเป็นก้อนบริเวณปีกมดลูกและอวัยวะอื่นๆ ในอุ้งเชิงกราน ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือรักษาอย่างไม่เพียงพอ ก้อนหนองอาจทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น รวมทั้งอาจจะเกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน ปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีบุตรยากหรือเป็นหมัน และตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย
ในส่วนของวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ประกอบด้วย
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน คัดเลือกและสอบถามประวัติการมีเพศสัมพันธ์ของคู่นอน ทำการตรวจอย่างเหมาะสมถ้ามีประวัติเสี่ยง
- สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิดวิธีอื่นๆ ไม่สามารถป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ไม่สวนล้างช่องคลอด