ชัวร์ก่อนแชร์ ! น้ำมะนาวโซดาสามารถรักษามะเร็งได้จริงหรือ ?

ซึ่งคำถามที่ว่าบทความที่ว่านั้นจริงเท็จขนาดไหน สำนักงานอาหารคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ก็ได้ออกมายืนยันชัดแจ้งแล้วว่า บทความมะนาวโซดารักษามะเร็งที่แชร์กันว่อนอินเทอร์เน็ตนั้นเป็น “ข้อความเท็จ”  
 
โดยน้ำมะนาวนั้น มีส่วนประกอบหลักคือ กรดซิตริก (Citric acid) ที่ให้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ สรรพคุณหลักคือช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ เพราะน้ำมะนาวจะกระตุ้นให้มีการขับน้ำลายออกมาทำให้ชุ่มคอ และที่สำคัญคืออุดมไปด้วยวิตามินซีที่เป็นประโยชน์  
 
ส่วนน้ำโซดา (Carbonate  beverages) ก็เป็นเพียงแค่การนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มาอัดลงในน้ำ ให้เกิดความซ่าขึ้น ซึ่งส่วนประกอบหลักของน้ำโซดาคือ กรดคาร์บอเนต ที่มีความเป็นกรดเช่นเดียวกับกรดซิตริกในน้ำมะนาว ต่างกันตรงที่น้ำโซดาไม่มีวิตามิน แถมเมื่อดื่มมากๆ หรือดื่มเวลาท้องว่าง อาจก่อให้เกิดผลเสียต่างๆ ต่อระบบทางเดินอาหาร เช่นโรคกรดไหลย้อนเจ้าปัญหาอีกด้วย 
 
ซึ่งถ้าเราพิจารณาจากส่วนประกอบใน น้ำมะนาว และน้ำโซดา ก็บอกได้เลยว่ามันไม่มีข้อบ่งชี้หรือข้อยืนยันทางการแพทย์ว่าสามารถกำจัดหรือรักษาเซลล์มะเร็งได้เลย  

แล้วความเชื่อที่ว่าความเปรี้ยวความกรดของน้ำมะนาวจะรักษามะเร็งได้มาจากไหนกัน ? 

คำตอบคือเรื่องนี้เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในต่างประเทศมานานนมตั้งแต่เริ่มมีอินเทอร์เน็ตแล้ว จากการที่มีวิจัยถึงสารที่มีประโยชน์ในผลไม้รสเปรี้ยวในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ซึ่งผลจากงานวิจัยนั้นมีผลออกมาในเชิงบวก จึงทำให้ผู้คนตื่นตูมสร้างบทความเหล่านี้ขึ้นมาโดยขาดการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพราะแท้จริงแล้วสารที่มีประโยชน์เหล่านั้น ถ้ามีปริมาณแค่ในระดับอยู่ในอาหารที่มนุษย์รับประทาน ก็ไม่มีผลใดๆ เลยต่อเซลล์มะเร็ง มีเพียงแค่วิตามินต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้น และอาจจะมีส่วนช่วยเล็กๆ ในการป้องกันโรคร้ายต่างๆ ตามสารอาหารที่ผลไม้รสเปรี้ยวมอบให้ ซึ่งมนุษย์เราก็ควรต้องดูแลรักษาร่างกายด้วยการกินอาหารมีประโยชน์หลากชนิดเพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เพียงวิตามินซีจากน้ำมะนาวอย่างเดียว ดังนั้นถ้าใช้เหตุผลเดียวกันนี้ เราก็สามารถบอกได้เลยว่าอาหารที่ให้สารอาหารที่มีประโยชน์ทุกชนิดสามารถป้องกันโรคร้ายได้ เพราะมันมีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นทั้งสิ้น 

ดังนั้นการดื่มน้ำมะนาวโซดา เพื่อหวังให้ร่างกายได้รับวิตามินซี หรือบรรเทาอาการระคายคอ ก็สามารถทำได้ถ้าดื่มในปริมาณปกติ แต่ถ้าหากจะดื่มมากๆ เพื่อหวังให้มันเข้าไปต่อต้านหรือกำจัดเซลล์มะเร็ง นอกจากจะไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย 
 
และการที่ออกมาบอกว่าบทความนี้เป็นข้อมูลเท็จ ผู้เขียนเข้าใจว่าอาจจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับผู้ป่วยหรือญาติที่กำลังมีความหวัง แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการทำลายกำลังใจของผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะอันยากลำบากในการต่อสู้กับโรคร้ายแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายแล้วการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ก็อีกปัจจัยสำคัญในการช่วยให้เรารับมือโรคร้ายอย่างถูกวิธี