สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุสมบูรณ์มาตั้งแต่ปี 2564 และกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอดในปี 2574 ซึ่งก็คือการที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 28 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ โดยบริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี ประเทศไทย ได้ให้คำจำกัดความกับกลุ่มคนที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ว่าเป็น SILVER GEN ซึ่งมีที่มาจากสีผมที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเงิน และอธิบายถึงคนวัยนี้ว่าเป็น “วัยเกษียณที่มั่นคง”
ผลสำรวจของเดอะ นีลเส็น คอมปะนี พบว่าสัดส่วน 20-30% ของคนกลุ่ม SILVER GEN นี้ เป็นผู้ที่มีระดับรายได้กลางถึงสูง โดยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สอดคล้องกับสถานการณ์ที่น่ากังวลในประเทศไทยว่าประชากรกลุ่มผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกับจำนวนของเด็กเกิดใหม่ที่ลดน้อยลงทุกปี คนกลุ่ม SILVER GEN จึงนับเป็นกลุ่มผู้สูงวัยกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย จึงจัดว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจับตามองและคว้าโอกาสทองในการทำธุรกิจ
อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้สูงอายุในยุคปัจจุบันมีลักษณะที่แตกต่างออกไปจากกลุ่มผู้สูงอายุในอดีต ด้วยโลกที่เปลี่ยนไปและมุมมองเกี่ยวกับตัวเองก็เปลี่ยนไปตามกระแสโลกเช่นกัน พวกเขามีรายละเอียดอะไรที่แตกจากอดีตบ้าง
1. การใช้เทคโนโลยี
ผลสำรวจของเดอะ นีลเส็น คอมปะนี พบว่า 90% ของกลุ่ม SILVER GEN มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมากกว่าครึ่งก็เป็นสมาร์ตโฟน โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม SILVER GEN ที่อายุระหว่าง 55-59 ปี มีสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และเพิ่มขึ้น 6 เท่าในกลุ่มผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป
ไม่เพียงแต่มีสมาร์ตโฟนใช้ เพราะคนกลุ่ม SILVER GEN ก็มีโซเชียลมีเดียใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดียครั้งแรกของคนวัยนี้น่าเป็นแอปพลิเคชัน Facebook รวมถึง WhatsApp, Messengers และ Instagram ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบการใช้โซเชียลมีเดียของคนกลุ่ม SILVER GEN กับผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่า จะพบว่าคนในวัยนี้จะใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ที่ตัวเองคุ้นเคย และจะใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นสำหรับการส่งข้อความหาครอบครัวและเพื่อนฝูง ตลอดจนใช้เป็นช่องทางติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้กลับไม่ได้ไวต่อการลงชื่อสมัครใช้งาน สิ่งที่พวกเขากังวลคือการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ พวกเขาค่อนข้างที่จะระมัดระวังในการป้องกันข้อมูลของตนเอง แถมยังมีการเปิดใช้งาน ad-blockers เพื่อบล็อกพวกโฆษณาน่ารำคาญออกไป นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
ผลสำรวจของเดอะ นีลเส็น คอมปะนี พบว่า 90% ของกลุ่ม SILVER GEN มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมากกว่าครึ่งก็เป็นสมาร์ตโฟน โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่ม SILVER GEN ที่อายุระหว่าง 55-59 ปี มีสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และเพิ่มขึ้น 6 เท่าในกลุ่มผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป
ไม่เพียงแต่มีสมาร์ตโฟนใช้ เพราะคนกลุ่ม SILVER GEN ก็มีโซเชียลมีเดียใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดียครั้งแรกของคนวัยนี้น่าเป็นแอปพลิเคชัน Facebook รวมถึง WhatsApp, Messengers และ Instagram ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบการใช้โซเชียลมีเดียของคนกลุ่ม SILVER GEN กับผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่า จะพบว่าคนในวัยนี้จะใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ที่ตัวเองคุ้นเคย และจะใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นสำหรับการส่งข้อความหาครอบครัวและเพื่อนฝูง ตลอดจนใช้เป็นช่องทางติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้กลับไม่ได้ไวต่อการลงชื่อสมัครใช้งาน สิ่งที่พวกเขากังวลคือการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลทางออนไลน์ พวกเขาค่อนข้างที่จะระมัดระวังในการป้องกันข้อมูลของตนเอง แถมยังมีการเปิดใช้งาน ad-blockers เพื่อบล็อกพวกโฆษณาน่ารำคาญออกไป นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัยข้อมูล
2. พฤติกรรมการซื้อสินค้า
โดยผู้บริโภคกลุ่ม SILVER GEN จะให้ความสำคัญกับเรื่องราคาน้อยลง รวมถึงยึดติดกับแบรนด์น้อยลงด้วยเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว เปิดใจให้กับสินค้าแบรนด์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน โดยพวกเขายินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นหากสินค้าและบริการนั้น ๆ ตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพ หรือให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากกว่าราคา ดังนั้น หากเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักแต่ราคาสูงกว่า พวกเขาจะลังเลน้อยลง ไม่ใส่ใจที่จะเปรียบเทียบราคา ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อเดี๋ยวนั้นทันที
สิ่งที่น่าสนใจคือ สำหรับคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะยิ่งไม่สนใจเรื่องการเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ เพราะพวกเขามีกำลังซื้อ และต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองเป็นอันดับแรก ลังเลการจ่ายน้อยลง แตกต่างจากอดีตที่คนกลุ่มนี้จะเน้นเก็บเงินมากกว่า เริ่มบาลานซ์วันนี้กับพรุ่งนี้ ให้ความสนใจคนในครอบครัว ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลาน ดังนั้น เงินไม่ใช่เครื่องวัดความสำเร็จอีกต่อไป หากแต่เป็นเครื่องมือในการแสวงหาและนำมาซึ่งความสุข สุขกาย สุขใจ ดูแลตนเองได้ ซึ่งความสุขนั่นแหละคือความสำเร็จ
โดยผู้บริโภคกลุ่ม SILVER GEN จะให้ความสำคัญกับเรื่องราคาน้อยลง รวมถึงยึดติดกับแบรนด์น้อยลงด้วยเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว เปิดใจให้กับสินค้าแบรนด์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยใช้มาก่อน โดยพวกเขายินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นหากสินค้าและบริการนั้น ๆ ตอบโจทย์ในเรื่องของคุณภาพ หรือให้ความสำคัญกับ “คุณภาพ” มากกว่าราคา ดังนั้น หากเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักแต่ราคาสูงกว่า พวกเขาจะลังเลน้อยลง ไม่ใส่ใจที่จะเปรียบเทียบราคา ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อเดี๋ยวนั้นทันที
สิ่งที่น่าสนใจคือ สำหรับคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะยิ่งไม่สนใจเรื่องการเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ เพราะพวกเขามีกำลังซื้อ และต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเองเป็นอันดับแรก ลังเลการจ่ายน้อยลง แตกต่างจากอดีตที่คนกลุ่มนี้จะเน้นเก็บเงินมากกว่า เริ่มบาลานซ์วันนี้กับพรุ่งนี้ ให้ความสนใจคนในครอบครัว ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลาน ดังนั้น เงินไม่ใช่เครื่องวัดความสำเร็จอีกต่อไป หากแต่เป็นเครื่องมือในการแสวงหาและนำมาซึ่งความสุข สุขกาย สุขใจ ดูแลตนเองได้ ซึ่งความสุขนั่นแหละคือความสำเร็จ
3. การดูแลสุขภาพ
ความต้องการของคนกลุ่ม SILVER GEN คือ แลดูอ่อนกว่าวัย พวกเขาต้องการที่จะดูเด็กลงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ยังรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี กว่าครึ่งยังคงพึ่งพาอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แม้ว่าจะออกกำลังกายน้อยลงก็ตาม
ทว่านอกจากสุขภาพกาย สุขภาพใจก็เป็นเรื่องที่คนวัยนี้หันมาใส่ใจให้มากขึ้น โดยเมื่อเทียบกับผู้ที่อายุน้อยกว่า พบว่าคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าถึงสองเท่า พวกเขาจึงเน้นที่จะติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วยโซเชียลมีเดียเพื่อผ่อนคลายความเหงา ซึ่งความเหงากลายเป็นภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากโรคระบาดครั้งใหญ่ ในสมาร์ตโฟนจึงอาจพบเกมฟรีที่พวกเขาดาวน์โหลดมาเล่นแก้เหงา
อีกสิ่งที่คนวัยนี้ให้ความสำคัญ คือ เทรนด์การตกแต่งบ้านด้วยเทคโนโลยี ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา พบว่าคนวัยนี้มีความต้องการที่จะใช้เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะเร็วกว่าคนรุ่นอื่น ๆ โดยสาเหตุที่ต้องการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในบ้านก็เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนกลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยี บางทีการใช้งานเทคโนโลยีจึงอาจจะซับซ้อนเกินไปหน่อย ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลว่าบริษัทต่าง ๆ จะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาทางออนไลน์อย่างไร แต่ความกังวลก็ไม่อาจขัดขวางการติดตั้งลำโพงอัจฉริยะหรือกล้องรักษาความปลอดภัยภายในบ้านได้
ความต้องการของคนกลุ่ม SILVER GEN คือ แลดูอ่อนกว่าวัย พวกเขาต้องการที่จะดูเด็กลงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่ยังรักษาสุขภาพเป็นอย่างดี กว่าครึ่งยังคงพึ่งพาอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แม้ว่าจะออกกำลังกายน้อยลงก็ตาม
ทว่านอกจากสุขภาพกาย สุขภาพใจก็เป็นเรื่องที่คนวัยนี้หันมาใส่ใจให้มากขึ้น โดยเมื่อเทียบกับผู้ที่อายุน้อยกว่า พบว่าคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าถึงสองเท่า พวกเขาจึงเน้นที่จะติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูงด้วยโซเชียลมีเดียเพื่อผ่อนคลายความเหงา ซึ่งความเหงากลายเป็นภัยคุกคามที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากโรคระบาดครั้งใหญ่ ในสมาร์ตโฟนจึงอาจพบเกมฟรีที่พวกเขาดาวน์โหลดมาเล่นแก้เหงา
อีกสิ่งที่คนวัยนี้ให้ความสำคัญ คือ เทรนด์การตกแต่งบ้านด้วยเทคโนโลยี ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา พบว่าคนวัยนี้มีความต้องการที่จะใช้เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะเร็วกว่าคนรุ่นอื่น ๆ โดยสาเหตุที่ต้องการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในบ้านก็เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เนื่องจากคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนกลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยี บางทีการใช้งานเทคโนโลยีจึงอาจจะซับซ้อนเกินไปหน่อย ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กังวลว่าบริษัทต่าง ๆ จะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาทางออนไลน์อย่างไร แต่ความกังวลก็ไม่อาจขัดขวางการติดตั้งลำโพงอัจฉริยะหรือกล้องรักษาความปลอดภัยภายในบ้านได้
4. มีอิสระทางการเงิน
ในอดีต กลุ่มผู้สูงอายุ มักจะให้ความสำคัญกับการเก็บเงินเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน คนกลุ่ม SILVER GEN จะแตกต่างออกไป พวกเขามีสมดุลในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้มองว่าเงินเป็นสิ่งที่ใช้วัดความสำเร็จในชีวิตอีกต่อไป และมองว่าเงินซื้อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จึงกล้าที่จะเป็นหนี้มากขึ้น เพราะการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากสามารถบริหารการเงินได้ดี มีการคาดการณ์ภาวะการเงินส่วนบุคคลในอนาคตมากขึ้น และมีพอร์ตทางการเงินที่หลากหลาย
ด้วยความที่ทำงานมานานจนเข้าสู่วัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จึงสะสมความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยมากกว่าคนรุ่นอื่น ๆ มีกำลังซื้อสูง พร้อมจ่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขายังคงรักการออม และมองว่าการออมก็เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยความที่มีประสบการณ์การผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน พวกเขาจึงต้องการปลดเปลื้องตนเองจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบลงบ้าง ทำให้ในวันนี้กลุ่มคนวัย 50+ ต้องการใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น จึงเต็มใจจ่ายให้กับอะไรก็ตามที่จะทำให้ตนเองได้มาซึ่งความสุข
ในอดีต กลุ่มผู้สูงอายุ มักจะให้ความสำคัญกับการเก็บเงินเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน คนกลุ่ม SILVER GEN จะแตกต่างออกไป พวกเขามีสมดุลในการใช้จ่ายเงินมากขึ้น เนื่องจากไม่ได้มองว่าเงินเป็นสิ่งที่ใช้วัดความสำเร็จในชีวิตอีกต่อไป และมองว่าเงินซื้อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ จึงกล้าที่จะเป็นหนี้มากขึ้น เพราะการเป็นหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากสามารถบริหารการเงินได้ดี มีการคาดการณ์ภาวะการเงินส่วนบุคคลในอนาคตมากขึ้น และมีพอร์ตทางการเงินที่หลากหลาย
ด้วยความที่ทำงานมานานจนเข้าสู่วัยใกล้เกษียณ คนกลุ่มนี้จึงสะสมความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยมากกว่าคนรุ่นอื่น ๆ มีกำลังซื้อสูง พร้อมจ่าย ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขายังคงรักการออม และมองว่าการออมก็เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยความที่มีประสบการณ์การผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน พวกเขาจึงต้องการปลดเปลื้องตนเองจากภาระหน้าที่ความรับผิดชอบลงบ้าง ทำให้ในวันนี้กลุ่มคนวัย 50+ ต้องการใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น จึงเต็มใจจ่ายให้กับอะไรก็ตามที่จะทำให้ตนเองได้มาซึ่งความสุข
5. พฤติกรรมทั่วไป
แม้จะเริ่มมีอายุที่มากขึ้นแต่ชาวสูงวัยมีมุมมองเกี่ยวกับตัวเองที่แตกต่างจากในอดีต อย่างคนกลุ่ม SILVER GEN ก็ชอบที่จะออกไปนอกบ้านเพิ่มขึ้น แทนที่จะเลือกอยู่แต่ในบ้าน หากเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี พวกเขายังมีความต้องการที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยคนกลุ่มอายุ 55-59 ปี ต้องการมีความสุขในชีวิต โดยที่พวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเองมากเท่ากับเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การตามแฟชั่นให้ทันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจ
อนึ่ง เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่คนเดียวมากขึ้น การจัดการกับความเหงาจึงสิ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญ มันเป็นความสุขทางใจหากพวกเขาจะมีกลุ่มเพื่อนหรือเครือข่ายที่รวมตัวกันทำกิจกรรมบางอย่าง โดยพวกเขามองว่าการได้ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตสดใส กระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสำคัญกับชุมชนและพยายามจะสนับสนุนหรือช่วยเหลือชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ตามโอกาสด้วย
แม้จะเริ่มมีอายุที่มากขึ้นแต่ชาวสูงวัยมีมุมมองเกี่ยวกับตัวเองที่แตกต่างจากในอดีต อย่างคนกลุ่ม SILVER GEN ก็ชอบที่จะออกไปนอกบ้านเพิ่มขึ้น แทนที่จะเลือกอยู่แต่ในบ้าน หากเทียบกับ 10 ปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี พวกเขายังมีความต้องการที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว โดยคนกลุ่มอายุ 55-59 ปี ต้องการมีความสุขในชีวิต โดยที่พวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับอนาคตของตนเองมากเท่ากับเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การตามแฟชั่นให้ทันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสนใจ
อนึ่ง เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่คนเดียวมากขึ้น การจัดการกับความเหงาจึงสิ่งที่คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญ มันเป็นความสุขทางใจหากพวกเขาจะมีกลุ่มเพื่อนหรือเครือข่ายที่รวมตัวกันทำกิจกรรมบางอย่าง โดยพวกเขามองว่าการได้ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ชีวิตสดใส กระปรี้กระเปร่า กระชุ่มกระชวย นอกจากนี้ พวกเขายังให้ความสำคัญกับชุมชนและพยายามจะสนับสนุนหรือช่วยเหลือชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ตามโอกาสด้วย