ถ้าเรามีชีวิตอยู่ในยุคกว่า 100 ปีก่อน และเป็นชนชั้นแรงงาน เราจะต้องทำงานมากถึง 6 วัน หรืออย่างน้อย 60-70 ชั่วโมง/สัปดาห์ จนกระทั่งในยุค 1890s สหภาพแรงงานได้ลุกขึ้นต่อต้านและกำหนดให้วันแรงงานเป็นวันหยุดประจำปี
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว เพราะยุคนี้เราทำงานกัน 5 วัน/สัปดาห์ ตกวันละ 8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานของการทำงานที่เกิดขึ้นในช่วง 1914s เฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ ค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกันได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานจาก 6 วัน มาเป็น 5 วัน พร้อมกับขึ้นค่าจ้างด้วย เขาเชื่อมั่นว่าการลดชั่วโมงการทำงานลงจะช่วยให้พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บรรดาบริษัทในสหรัฐฯ จึงหันมาใช้มาตรฐานนี้ตามๆ กัน
แต่นั่นเป็นโลกก่อนยุคอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัล การเรียกร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานให้เหลือ 4 วัน/สัปดาห์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป การทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ในอังกฤษเมื่อปลายปีที่ผ่านมากลายเป็นกรณีศึกษาที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก สมาชิกวุฒิสภาอาวุโสจากพรรคแรงงานและพรรคกรีนต่างหนุนนโยบายนี้เต็มที่ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนการสร้าง work-life balance ของชาวออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง
แต่มันจะเป็นอนาคตของการทำงาน (Future of Work) จริงๆ หรือเปล่า เราลองมาดูกรณีศึกษาจากอังกฤษกัน
(เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2022)
แต่นั่นเป็นโลกก่อนยุคอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิทัล การเรียกร้องให้ลดชั่วโมงการทำงานให้เหลือ 4 วัน/สัปดาห์จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป การทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ในอังกฤษเมื่อปลายปีที่ผ่านมากลายเป็นกรณีศึกษาที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก สมาชิกวุฒิสภาอาวุโสจากพรรคแรงงานและพรรคกรีนต่างหนุนนโยบายนี้เต็มที่ พร้อมกับเชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนการสร้าง work-life balance ของชาวออสเตรเลียโดยสิ้นเชิง
แต่มันจะเป็นอนาคตของการทำงาน (Future of Work) จริงๆ หรือเปล่า เราลองมาดูกรณีศึกษาจากอังกฤษกัน
สรุปผลการทดลองทำงาน 4 วันในอังกฤษ
- มีบริษัทเข้าร่วมการทดลองนี้ประมาณ 61 แห่งในเดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2022 โดยมี 3 บริษัทที่ยุติกลางคัน
- ทุกบริษัทต่างใช้สูตร 100-80-100 นั่นคือ จ่ายเงินเดือนเต็ม ลดเวลาทำงานเหลือ 80% และรักษาผลิตภาพของการผลิตงานเต็มร้อย
- 86% ของผู้บริหารจาก 41 บริษัทที่ทดลองใช้นโยบายทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ ค่อนข้างชื่นชอบและเห็นด้วยกับนโยบายนี้
- 46% ของผู้บริหารเผยว่าผลิตภาพทางธุรกิจของบริษัทยังคงอยู่ในระดับเดิม ส่วน 34% มองว่าพัฒนาขึ้นเล็กน้อย และมีเพียง 15% เท่านั้นที่ระบุว่าเกิดพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ
- ฝั่งพนักงานมองว่าการทำงาน 4 วันนั้นตอบโจทย์ในแง่การทำงานที่โปรดักทีฟ คุณภาพชีวิตดีขึ้น สัดส่วนของพนักงานที่ตัดสินใจลาออกก็ลดลงเช่นกัน
ทำงาน 4 วัน ดีต่อใจจริงไหม
ผลสำรวจสภาพจิตใจก่อน-หลังของพนักงานที่ร่วมทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ในอังกฤษ(เดือนมิถุนายน-ธันวาคม 2022)
- ภาวะเบิร์นเอาต์
- เพิ่มขึ้น 22%
- ลดลง 71%
- ไม่เปลี่ยนจากเดิม 7%
- ความเครียด
- เพิ่มขึ้น 13%
- ลดลง 39%
- ไม่เปลี่ยนจากเดิม 48%
- ปัญหาการนอนหลับ
- เพิ่มขึ้น 15%
- ลดลง 40%
- ไม่เปลี่ยนจากเดิม 45%
- หลายประเทศพยายามเพิ่มความยืดหยุ่นของชั่วโมงการทำงาน เพื่อให้บริษัทนำปรับใช้กับวัฒนธรรมองค์กรและแนวทางการทำงานของตัวเอง
- ปี 2015 สวีเดนได้ทดลองทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ด้วยเงื่อนไขที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นั่นคือ การทำงานวันละ 6 ชั่วโมง แทน 8 ชั่วโมง โดยไม่หักเงินเดือนเลย แม้กระทั่งพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายยังวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่มี ‘ต้นทุน’ ที่ต้องจ่ายสูงเกินไป
- ปี 2021 เนเธอร์แลนด์สนับสนุนให้คนทำงานเฉลี่ย 30.3 ชั่วโมง/สัปดาห์ แทน 40 วัน/สัปดาห์ อ้างอิงจากข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
จากผลวิจัยและการสำรวจ คราวนี้เราขยับมาประโยชน์และสิ่งที่ควรกังวลเกี่ยวกับการทำงาน 4 วันกันบ้าง
อนาคตใหม่ของการทำงาน (ในบางประเทศ)
แม้ว่าจะนโยบายนี้จะยังเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทบทวนกฎหมายแรงงานที่ร่างขึ้นมานานกว่าศตวรรษหรือทศวรรษ และหาโซลูชันที่ตอบโจทย์กับบริบทในสังคมปัจจุบันได้ดีขึ้น เสียดายก็แต่ประเทศที่กลัวการเปลี่ยนแปลง จนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า