เคยไหม งานท่วมหัว ทำไปบ่นไป รู้สึกเหนื่อยจนอยากลาพักร้อนให้สมองโล่งบ้าง
… แต่ก็ไม่กล้าลา
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มนุษย์เงินเดือนมักพบเจอ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ชีวิตผูกติดกับค่านิยมทำงานหนักเพื่อไต่เต้าไปสู่ชีวิตในฝันหรือที่เรียกกันว่า American Dream ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากความอุตสาหะ ยอมเสี่ยง และทำงานหนัก
ปกติแล้วในการทำงานจะมีวันหยุดที่เรามีสิทธิได้รับเงินตามปกติ โดยข้อบังคับก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละที่ ซึ่งในประเทศที่สวัสดิการดีอย่างประเทศแถบยุโรปก็มักจะมีวันหยุดมากกว่าประเทศอื่น และในบรรดาประเทศทั้งหลาย ดูเหมือนว่าพนักงานในสหรัฐอเมริกาจะดูมีปัญหากับการลางานมากที่สุด แม้ว่าลาแล้วจะไม่โดนหักเงินก็ตาม
จากการสำรวจในปี 2019 พบว่าพนักงาน 1 ใน 3 ยอมให้หักเงินเดือนเพื่อแลกกับวันหยุดที่ไม่จำกัด แต่กระนั้นผลสำรวจก็ชี้ให้เห็นว่าคนที่สามารถลาหยุดได้ไม่จำกัดโดยไม่โดนหักเงิน มีแนวโน้มที่จะลาน้อยกว่าคนที่มีวันหยุดตามปกติเสียอีก!?
ขนาดได้พักด้วย ได้เงินด้วย คนยังไม่ยอมพักกันเลย––มันเกิดอะไรขึ้น?
… แต่ก็ไม่กล้าลา
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มนุษย์เงินเดือนมักพบเจอ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ชีวิตผูกติดกับค่านิยมทำงานหนักเพื่อไต่เต้าไปสู่ชีวิตในฝันหรือที่เรียกกันว่า American Dream ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากความอุตสาหะ ยอมเสี่ยง และทำงานหนัก
ปกติแล้วในการทำงานจะมีวันหยุดที่เรามีสิทธิได้รับเงินตามปกติ โดยข้อบังคับก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละที่ ซึ่งในประเทศที่สวัสดิการดีอย่างประเทศแถบยุโรปก็มักจะมีวันหยุดมากกว่าประเทศอื่น และในบรรดาประเทศทั้งหลาย ดูเหมือนว่าพนักงานในสหรัฐอเมริกาจะดูมีปัญหากับการลางานมากที่สุด แม้ว่าลาแล้วจะไม่โดนหักเงินก็ตาม
จากการสำรวจในปี 2019 พบว่าพนักงาน 1 ใน 3 ยอมให้หักเงินเดือนเพื่อแลกกับวันหยุดที่ไม่จำกัด แต่กระนั้นผลสำรวจก็ชี้ให้เห็นว่าคนที่สามารถลาหยุดได้ไม่จำกัดโดยไม่โดนหักเงิน มีแนวโน้มที่จะลาน้อยกว่าคนที่มีวันหยุดตามปกติเสียอีก!?
ขนาดได้พักด้วย ได้เงินด้วย คนยังไม่ยอมพักกันเลย––มันเกิดอะไรขึ้น?

ปรากฏการณ์แข่งกันขยันจนไม่กล้าหยุดนี้เห็นได้ชัดในสหรัฐอเมริกา แต่ก็มีประเทศอื่นที่ประสบปัญหานี้เช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุอาจมาจาก
1.รู้สึกผิดหรือเครียดที่ไม่ได้ทำงาน
เป็นพนักงานก็ต้องทำงานสิ! เหมือนว่าสมองเราจะมีคำสั่งนี้อยู่เสมอเมื่ออยู่ในโลกของการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อคนรอบข้างดูมุ่งมั่น ทำงานอย่างบากบั่นกันตลอดเวลา เมื่อคิดอยากพักเราจึงรู้สึกผิดต่อตัวเอง รู้สึกขาดความรับผิดชอบ หรือเครียดว่างานจะไม่เดิน2.กลัวถูกมองว่าขี้เกียจ
เมื่อลาหยุดโดยไม่มีเหตุ “จำเป็น” คนรอบข้างอาจอนุมานเอาว่าเราขี้เกียจ ความกลัวนี้มักเกิดขึ้นเพราะความกดดันจากสังคมรอบข้างที่ไม่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน หรือกระทั่งเจ้านายที่อาจตำหนิ/ทำให้ลูกน้องรู้สึกแย่เมื่อลางาน สภาพแวดล้อมในการทำงานแบบนี้เองที่เป็นพิษต่อการพักผ่อนทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องปกติ3.พลาดโอกาสในการทำงาน
การหยุดพักอาจดีต่อร่างกายและหัวใจ แต่ในแง่การงานล่ะ หลายคนกังวลว่าในช่วงที่หยุดจะพลาดโอกาสบางอย่างที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นอาจได้รับไปแทน ซึ่งในบางจังหวะชีวิตโอกาสเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่4.หากขาดเราไปแล้วงานยังเดินต่อได้ก็หวั่นจะถูกไล่ออก
หลายคนกลัวว่าการหยุดงานจะทำให้ตำแหน่งของเราถูกมองว่าไม่จำเป็น หรือให้คนอื่นมาทำแทนได้ แม้แต่ในภาวะปกติที่ไม่มีโรคระบาด เมื่อมีค่าใช้จ่ายอะไรที่ตัดออกได้ทางบริษัทก็มักจะทำ นี่เป็นอีกหนึ่งความกดดันที่หลายคนต้องพบเจอ5.พนักงานที่ดีคือพนักงานที่ทุ่มเท
เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่อยากได้คำชมมากกว่าคำตำหนิ มันทำให้เรารู้สึกดีและมีค่า การทุ่มเทกับงานที่ทำจึงคล้ายสัญชาตญาณที่หลายคนมีโดยไม่รู้ตัว และบางครั้งเราก็ก้าวข้ามเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างความทุ่มเทกับการฝืนตัวเองโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
เมื่อเราตกหลุมความคิดเหล่านี้จนทำให้ไม่สามารถแยกการงานกับการพักผ่อนออกจากกันได้ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีทั้งกับสุขภาพกายและสุขภาพใจ มาดูกันดีกว่าว่าเราจะรู้สึกโอเคกับการพักผ่อนได้อย่างไรบ้าง
ย้อนกลับมามองมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทย จะเห็นว่าแม้เราจะไม่ได้มีค่านิยม “Thai Dream” เราต่างก็มุ่งมั่นทำงานเพื่อสานฝันบางอย่างเช่นกัน และหลายคนก็ประสบปัญหาที่ไม่ยอมให้ตัวเองพักผ่อนแบบนี้
แต่อย่าลืมฟังเสียงร่างกายและจิตใจ หากไม่อนุญาตให้ตัวเองได้พัก ปล่อยให้ความเครียดและความกดดันจากการทำงานสะสมจนรับไม่ไหว บางทีการลาหยุดอาจกลายเป็นการลาออกก็ได้
หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการทำงาน ค้นพบสมดุล และรู้สึกดีเมื่อได้พัก (ผู้เขียนก็จะพยายามเช่นกัน)
จำไว้ว่าการพักผ่อนเป็นสิ่ง ‘จำเป็น’
หลายคนไม่กล้าลาเพื่อพักผ่อนเพราะรู้สึกว่าการลาแต่ละครั้งต้องมีเหตุผลจำเป็นเร่งด่วน แต่ความจริงแล้วการพักผ่อนเป็นครั้งคราวก็จำเป็นเช่นกัน อย่าลืมว่านอกจากวันลากิจแล้วยังมีลาพักร้อน พอได้พักผ่อนอาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเหมือนได้ชาร์จพลัง เมื่อสมองปลอดโปร่งการทำงานก็ราบรื่นแก้อาการรู้สึกผิดที่ลาหยุด…ด้วยการลาหยุด
“วิธีที่ดีที่สุดในการก้าวข้ามความรู้สึกผิดและความเครียดเกี่ยวกับการลาหยุด…คือการลาหยุด!” เอมิลี ซิโมเนียน นักบำบัดคู่สมรสและครอบครัวกล่าว นี่เป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่จะช่วยใช้เรารู้สึกสบายใจกับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ คือการค่อยๆ เอาตัวเองไปอยู่กับสิ่งนั้นจนรู้สึกผิดกับมันน้อยลง อนุญาตให้ตัวเองนอนเล่นบ้าง อ่านหนังสือจรรโลงใจที่ไม่เกี่ยวกับงาน หรือทำอะไรก็ได้ที่อยากทำฝึกคิดบวกกับตัวเอง
เตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าการพักผ่อนไม่ใช่เรื่องผิด และแท้จริงแล้วมันส่งผลดีกับการทำงานในระยะยาว การพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้เราอยู่กับงานนั้นได้นานขึ้น เพราะฉะนั้นแทนที่จะรู้สึกผิด เราควรเรียนรู้ที่จะรู้สึกดีกับการพักผ่อนมากกว่าย้อนกลับมามองมนุษย์เงินเดือนในประเทศไทย จะเห็นว่าแม้เราจะไม่ได้มีค่านิยม “Thai Dream” เราต่างก็มุ่งมั่นทำงานเพื่อสานฝันบางอย่างเช่นกัน และหลายคนก็ประสบปัญหาที่ไม่ยอมให้ตัวเองพักผ่อนแบบนี้
แต่อย่าลืมฟังเสียงร่างกายและจิตใจ หากไม่อนุญาตให้ตัวเองได้พัก ปล่อยให้ความเครียดและความกดดันจากการทำงานสะสมจนรับไม่ไหว บางทีการลาหยุดอาจกลายเป็นการลาออกก็ได้
หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับการทำงาน ค้นพบสมดุล และรู้สึกดีเมื่อได้พัก (ผู้เขียนก็จะพยายามเช่นกัน)
SPACE for Facts:
- วันหยุดของแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกันไป แต่ตามกฎหมายแรงงานได้กำหนดวันหยุดขั้นต่ำไว้ดังนี้
- ลาพักร้อน: ไม่น้อยกว่าปีละ 6 วัน สำหรับลูกจ้างที่ทำงานมาเกิน 1 ปี สามารถยกหรือเลื่อนไปสะสมในปีอื่นได้
- ลาป่วย: ลาได้ตามจริง โดยได้รับค่าจ้างไม่เกิน 30 วัน หากลาติดต่อกัน 3 วันขึ้นไปต้องมีใบรับรองแพทย์
- ลากิจ: ลาโดยมีเหตุธุระจำเป็นได้ไม่น้อยกว่า 3 วันต่อปี โดยมีสิทธิรับค่าจ้างตามปกติไม่เกิน 3 วันต่อปี
- ลาคลอด/ลาตรวจครรภ์: ลาได้ 98 วัน โดยได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน
- ลาทำหมัน: สามารถหยุดได้ตามแพทย์สั่ง และยังได้รับค่าจ้าง
- ลารับราชการทหาร: ลาได้ตามจำนวนวันที่ทางการทหารเรียก โดยมีสิทธิรับค่าจ้างตามปกติไม่เกิน 60 วันต่อปี
- ลาฝึกอบรม: ลาได้โดยไม่ได้รับค่าจ้าง (แล้วแต่กรณี)