ประวัติศาสตร์ย่อของ “ขยะ” เมืองขยาย ขยะล้น โลกร้อน เพราะเราต่างซื้อ-ใช้-ทิ้ง เพื่อปรนเปรอตัวเอง

26 มิ.ย. 2567 - 02:50

  • ราวปี พ.ศ.2498-2499 กรุงเทพฯ มีขยะราวปีละ 10,000 ตัน ขณะที่ปี พ.ศ.2566 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.2 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นมา 320 เท่า!

a_brief_history_of_garbage_SPACEBAR_Hero_9a04471128.jpg

ปัญหาขยะเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทุกเมืองในโลก ทว่าแต่ละเมืองไม่เหมือนกัน จึงมีวิธีจัดการขยะแตกต่างกัน

มองประเทศไทยในอดีต การจัดการขยะในสยามในช่วงแรกใช้วิธีง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน เพราะยังไม่มีพลาสติก ไม่มีขยะอิเล็กทรอกนิกส์

a_brief_history_of_garbage_SPACEBAR_Photo01_57dbc449f2.jpg

วิธีกำจัดขยะ เริ่มจากขนขยะด้วยเกวียนหรือเรือออกไปทิ้งที่ปากแม่น้ำ ไม่ก็เผาหรือถมบริเวณที่ลุ่มนอกพระนคร

อีกวิธีที่ใช้จัดการขยะคือ ตั้งกติกาข้อบังคับผ่านเขียนกฎหมายมาดูแลขยะ โดยประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับขยะตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยกำหนดให้กรมสุขาภิบาล กระทรวงนครบาล เป็นคนดูแล

การตรากฎหมายขึ้นมาในยุคนั้นแสดงว่า ปัญหาขยะล้นเมืองมีมาเป็นร้อยปีแล้ว

เวลาผ่านไป ขยะเริ่มมากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ.2482-2484 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 8 และจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ เริ่มขยาย ขยะจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นเงา จนต้องมีการเพิ่มพื้นที่รองรับขยะ เช่น ทุ่งสามเสนใน บริเวณดินแดง ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นย่านกลางเมือง ก่อนจะไม่พอรองรับและต้องขยายออกไปที่จังหวัดใกล้เคียง เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร

a_brief_history_of_garbage_SPACEBAR_Photo02_d7b9ebd42a.jpg
รถขุดขนาดยักษ์กำลังขุดขนขยะในหลุมฝังกลบขยะขนาดใหญ่เพื่อเคลื่อนย้ายขยะไปยังโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าในกรุงเทพฯ

ประวัติศาสตร์การกำจัดขยะในโลกนี้เหมือนกันทั้งโลก เริ่มต้นจากการผลิตจำนวนมากของระบบอุตสาหกรรม สังคมเมืองเติบโต คนหลั่งไหลมาหาอาชีพและค่าแรงที่ดีกว่า จนเมืองแออัดไปด้วยผู้คน รวมไปถึงขยะ

พอขยะมากขึ้น วิธีกลบๆ ฝังๆ แบบเดิมๆ เริ่มไม่ทันใช้ จนนำมาสู่วิธีกำจัดที่เร็วกว่า คือการเผา เช่น ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีเตาเผาขยะเกิดขึ้นราวปี พ.ศ.2414-2448 โดยมักตั้งโรงเผาขยะที่พื้นที่นอกเมือง การกำจัดวิธีนี้ง่าย เร็ว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยมลพิษจากการเผาไหม้ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีการแยกขยะเท่าไรนัก

ทว่าวันหนึ่งเมื่อโลกเริ่มร้อน สิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบจากขยะ มนุษย์จึงขบคิดหาเทคโนโลยีที่จะกำจัดขยะได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งการหมักขยะทำปุ๋ยคือหนึ่งในวิธีนั้น

a_brief_history_of_garbage_SPACEBAR_Photo03_5eb66d8b8b.jpg

กรุงเทพมหานครเริ่มตั้งโรงงานปุ๋ยของเทศบาลขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีจากยุโรป เน้นไปที่ขยะเปียกที่เป็นชีวภาพ ส่วนขยะแห้งก็ยังต้องใช้วิธีการเผากันอยู่

จากข้อมูลระบุว่าปี พ.ศ.2498-2499 ขยะในกรุงเทพฯ มีราวปีละ 10,000 ตัน ขณะที่ปริมาณขยะปี พ.ศ.2566 เพิ่มขึ้นมามหาศาลอยู่ที่ 3.2 ล้านตัน

เฉลี่ยวันละ 8,775 ตันต่อวัน ด้วยปริมาณขยะเท่านี้ ไม่ว่าจะกลบ เผา หรือหมัก ก็ไม่ทันกับการทิ้งของผู้คน

คำถามคือ เมื่อวิธีเดิมๆ กำจัดขยะไม่ทัน มนุษย์จึงเริ่มปรับวิธีทำและวิธีคิดใหม่ ด้วยการนำขยะเหล่านั้นมารีไซเคิล (Recycle) กลับมาใช้ใหม่

และล่าสุดคือการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงาน ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ทั้งแบบโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแบบทั่วไป และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะแบบเคลื่อนที่ เพื่อย้ายไปกำจัดขยะตามพื้นที่ต่างๆ

a_brief_history_of_garbage_SPACEBAR_Photo04_805cff7837.jpg
โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ Copenhill ในกรุงโคเปนเฮเกน ที่มีพื้นที่เล่นสกีบนหลังคา

ปัจจุบันภาครัฐได้อนุมัติให้จัดตั้งโรงไฟฟ้าขยะชุมชนแล้วอย่างน้อยใน 20 จังหวัด มูลค่าลงทุนมากกว่า 13,101 ล้านบาท

ทั้งนี้ การตั้งโรงไฟฟ้าขยะมีข้อดีและข้อเสียที่ต้องพิจารณา ถ้าตั้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน จะเป็นการกำจัดขยะในพื้นที่ และแปรเปลี่ยนขยะนั้นเป็นพลังงานไฟฟ้า แต่ถ้าทำไม่ได้มาตรฐาน โรงไฟฟ้าเหล่านั้นจะเป็นตัวก่อมลพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตในชุมชน

ถามว่า...ทางออกเรื่องขยะที่ยั่งยืนคืออะไร?

เราอาจต้องย้อนกลับไปดูที่ต้นทางว่าขยะนั้นมาจากไหน ใช่การผลิตและบริโภคที่ล้นเกิน วิถีชีวิตที่ถูกกระตุ้นให้ใช้สิ่งต่างๆ อย่างฟุ่มเฟือยใช่หรือไม่

เราต่างซื้อ ใช้ และทิ้ง เพื่อปรนเปรอตัวเอง ไม่ว่าในระดับองค์กรธุรกิจหรือปัจเจก เราต่างขับเคลื่อนด้วยการคิดถึงตัวเองมากกว่าใคร

ปัญหาขยะอาจลดลงได้ ถ้ากลับมุมคิด ด้วยการคิดถึงคนอื่นให้มากกว่าตัวเอง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์