

ถ้าเราย้อนกลับไปดูกรุงเทพฯ ก่อนมีไฟฟ้า (ก่อนปลายรัชกาลที่ 5 ประมาณ พ.ศ. 2420–2430) ชีวิตคนเมืองหลวงในตอนนั้นต่างจากปัจจุบันมากทั้งกลางวันและกลางคืน นี่คือภาพรวม:
ชีวิตประจำวัน กลางวันใช้แสงอาทิตย์เป็นหลักในการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆ จึงต้อง “เร่งทำงาน” ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเย็น พระอาทิตย์ตกแล้วก็คือเวลาพักผ่อน
กลางคืน การเดินทางน้อยมากในช่วงกลางคืน ย่านบ้านเรือนปิดเงียบกันเร็วมากเพราะไม่มีแสงสว่าง ถนนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มีแต่ “ตะเกียงน้ำมัน” หรือ “ตะเกียงแก๊ส” ตามถนนสายหลักบางแห่งเท่านั้น (เช่น บริเวณรอบวัง บางลำพู สำราญราษฎร์)
การให้แสงสว่าง ในบ้านเรือนใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด, เทียนไข หรือคบไฟ บ้านที่มีฐานะดีอาจใช้โคมแขวน, โคมตั้งพื้น หรือโคมจีนตกแต่งตามบ้าน
นอกบ้าน จุดไฟกองเล็กๆ หรือใช้ตะเกียงแขวนเสาในพื้นที่ตลาดหรือถนนใหญ่บางเส้น เช่น ถนนเจริญกรุง (ซึ่งถือว่า “ทันสมัย” ที่สุดในยุคนั้น)
การเดินทาง เดินเท้า, นั่งเรือ (คลองยังเป็นเส้นทางหลัก) หรือใช้รถม้าในบางกลุ่มคนชั้นสูง ตอนกลางคืนเรือมักมี “คบไฟ” หรือ “ตะเกียงน้ำมัน” แขวนท้ายเรือเพื่อให้เห็นทางและกันชนกัน
การค้าขายตลาดปิดเร็วมาก ไม่มี “ตลาดกลางคืน” แบบปัจจุบัน ร้านค้าใช้แสงตะเกียงถ้าจะเปิดตอนกลางคืนซึ่งไม่ค่อยมีเพราะเปลืองน้ำมัน
ความบันเทิง งานรื่นเริงต่างๆ เช่น งิ้ว ลิเก หรือละครชาวบ้าน จะใช้แสงจากคบเพลิง ตะเกียงเรียงเป็นแนวหรือโคมไฟ ทำให้งานกลางคืนมีบรรยากาศโรแมนติกมาก
รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดแสดงโคมไฟตามพระราชพิธี เช่น งานวัดพระแก้ว
หมายเหตุที่น่าสนใจ
- ไฟฟ้าเข้ามาในกรุงเทพฯ ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2430 (ค.ศ. 1887) ในพระบรมมหาราชวัง ก่อนจะขยายมาใช้ที่ถนนเจริญกรุง
- บริษัทไฟฟ้าแรกของไทย คือ “บริษัทไฟฟ้าสยาม” (Siam Electricity Co., Ltd.) ที่พระคลังมหาสมบัติร่วมกับชาวต่างชาติจัดตั้งขึ้น
- ไฟฟ้าในช่วงแรกแพงมาก เป็นของหรูสำหรับวัง รัฐบาล อาคารราชการ และโรงแรมใหญ่ๆ เท่านั้น
นี่คือภาพจำลองที่เคยเกิดขึ้นแล้วในวันที่กรุงเทพฯ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีวิทยุ ไม่มีสื่อสารมวลชน ไม่แน่ว่าโลกเราอาจจะเลียนแบบกันได้มีวันที่ไม่มีไฟฟ้าเหมือนกันที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญในที่หนึ่งบนโลกนี้