ถ้าโลกเป็นร่างกาย มนุษย์คงเป็นมะเร็งร้ายที่กำลังกัดกินโลกให้ตายอย่างช้าๆ
ระบบนิเวศที่มีปกติเป็นความสมดุลค่อยๆ ผิดเพี้ยนจนยากจะกู่กลับ เพราะกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่มุ่งตอบสนองการบริโภค เพื่อสร้างผลกำไร โดยห่วงใยเงินในกระเป๋า มากกว่าสิ่งแวดล้อม
น้ำแข็งขั้วโลกละลาย การเปลี่ยนนิยามจากโลกร้อนกลายเป็นโลกเดือด ฯลฯ ฟังดูอาจเป็นเรื่องไกลตัว แต่รู้หรือไม่ ส่ิงเหล่านี้คือผลลัพธ์ของมวลรวมการใช้ชีวิตของเราแต่ละคน หรือพูดให้ใกล้ตัวและเห็นภาพชัดขึ้น เพียงแค่การส่งอีเมลของคุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนขึ้น (หาคำตอบได้ใน อีเมลก่อมลพิษได้จริงหรือ?) หรือทุกคลิป ทุกภาพที่คุณเซฟไว้ในสมาร์ทโฟนและเก็บไว้ในคลาวด์ กำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
ใช่แล้ว, เรากำลังพูดถึง Digital Pollution หรือ มลพิษทางดิจิทัล คลื่นยักษ์ที่กำลังก่อตัวและสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคที่ทุกสิ่งถูกขนย้ายไปบนออนไลน์
“รากฐานของ Digital Pollution เกิดจากความไม่รู้”
ปัญหาของเรื่องนี้มาจากเพราะสิ่งที่อยู่บนโลกดิจิทัลเหมือนไร้ตัวตน เหมือนไม่ได้ใช้ต้นทุนอะไรสร้างขึ้นมา อย่างน้อยก็ประหยัดการใช้กระดาษในงานเอกสารได้มหาศาล แต่หลายคนอาจลืมไปว่า ทุกสิ่งที่ได้มาล้วนมี ‘ต้นทุน’
คุณอยากรู้ไหมว่า ‘ต้นทุน’ ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง?
- ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า มนุษย์เชื่อมต่อตัวเองกับโลกออนไลน์ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Device) บริษัทผู้ผลิตเข็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ๆ ออกมาทุกปี (หรือถี่กว่านั้น) แล้วใช้ศาสตร์ทางการตลาดและจิตวิทยากระตุ้นให้เราเปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุด
- อุปกรณ์ที่หมดอายุกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ปีละกว่า 50 ล้านตันทั่วโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
- ทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตและการทำลายล้วนใช้พลังงานและทรัพยากรมหาศาล และยังปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากการทำลายที่ไม่ยั่งยืน
- ขณะเดียวกัน การใช้งานก็ใช้พลังงานไฟฟ้าหล่อเลี้ยงตลอดเวลา และอาจรวมถึงทำร้ายสุขภาพกายและใจ (หากใช้เกินพอดี) จนนำไปสู่โรคออฟฟิศซินโดรม เครียด ซึมเศร้า จากการเปรียบเทียบตัวเองกับสังคม
- เอาล่ะ, การพูดโดยอ้างอิงตัวเลขสถิติจาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) น่าจะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น...
- การกดค้นหาบน Google สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ราว 0.2-1.45 กรัม
- ทุกครั้งที่ส่งอีเมล จะปล่อย CO2 ราว 4-50 กรัม ปัจจุบันทั่วโลกมีการส่งอีเมลมากถึง 347,300 ล้านฉบับต่อวัน
- การดูคลิปวิดีโอบน YouTube นาน 30 นาที ปล่อย CO2 ประมาณ 3 กรัม
- ขณะที่การดู Netflix นาน 1 ชั่วโมง ปล่อย CO2 มากกว่านั้นถึง 56-114 กรัม
เพราะเบื้องหลังการทำงานของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สตรีมมิ่ง และการเก็บข้อมูลดิจิทัลที่ไม่มีใครเห็น คือการทำงานของ Server และ Data Center ขนาดใหญ่ที่ต้อง ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลทุกวินาทีตลอด 24 ชั่วโมง
ในอนาคตอันใกล้ กิจกรรมบนออนไลน์ ไม่ว่าเอไอ ซอฟต์แวร์ เกม ฯลฯ รวมถึงธุรกิจที่ต้องชี้ขาดกันที่พลังการประมวล จะยิ่งสูบกินพลังงานไฟฟ้าอย่างน่าสะพรึง
ว่ากันว่า กิจกรรมออนไน์เหล่านี้ปล่อย CO2 มหาศาลถึงปีละกว่า 1.6 พันล้านตัน ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก และเทียบเท่าประเทศที่มีการปล่อยมลพิษมากเป็นอันดับ 4 ของโลก
ถ้ายุคเกษตรที่พึ่งพาการเพาะปลูกเป็นหลัก แสงแดดคือลมหายใจของผู้คนยุคนั้น พลังงานไฟฟ้าก็ไม่ต่างจากลมหายใจของผู้คนยุคนี้ ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในโลกดิจิทัล
เรื่องตลกร้ายเรื่องหนึ่งคือ “เราทุกคนต่างอยู่ในจุดท่ีเลิกใช้ไม่ได้” ถึงแม้จะรู้ว่า ‘ความยั่งยืน’ คือช้อยส์ที่ดีกว่า เพื่อโลกที่น่าอยู่และชีวิตที่น่าอภิรมย์กว่านี้ แต่ดูเหมือนระบบทุกอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งเน้นการบริโภคมากกว่าความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย จะเดินสวนทางกับการสร้างความยั่งยืนที่แท้จริง
ถ้าความไม่รู้คือรากฐานของ Digital Pollution การอ่านบทความนี้ น่าจะช่วยให้ใครหลายคนรู้ว่า สิ่งที่เราทำล้วนมีต้นทุนที่ต้องจ่าย
แต่มากกว่ารู้ จะเปลี่ยนแปลงได้ต้องลึกกว่ารู้ คือรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายและสวนกระแสโลกที่อื้ออึงไปด้วยสื่อโฆษณาที่กระตุ้นเร้าและหลอกล่อให้เราบริโภคตลอดเวลา
หากไม่ต้องการเป็นมะเร็งร้ายของโลกใบนี้ คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องทบทวนอย่างจริงจังถึงการใช้และบริโภคอย่าง ‘พอประมาณ’ ท่ามกลางโลกที่อื้ออึงไปเสียงของความละโมบ