องค์การอนามัยโลกออกมาเตือน ทานสารแทนความหวานอาจเสี่ยงโรค

19 พ.ค. 2566 - 06:57

  • องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกมาตักเตือนสำหรับผู้ที่ใช้สารแทนความหวานน้ำตาลเป็นตัวเลือกในการคุมน้ำหนัก ซึ่งอาจส่งผลต่อโรคอื่นในระยะยาวได้

dont-use-sugar-substitutes-SPACEBAR-Thumbnail
ทุกวันนี้เกือบทุกผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ำดื่มในห้างสรรพสินค้ามักใช้สารแทนความหวานน้ำตาล เช่น แอสปาร์แตม ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ ขายให้กับผู้บริโภคที่ไม่อยากทานหวาน และเป็นตัวเลือกหนึ่งในการลดน้ำหนัก แม้แต่น้ำตาลสำหรับชงกาแฟและเครื่องดื่มยังเพิ่มไลน์ผลิตเป็นน้ำตาลที่ใช้สารแทนความหวาน  

เมื่อมองจากภายนอก มันอาจฟังดูช่วยส่งเสริมสุขภาพ และอาจหลีกเลี่ยงไขมันได้ แต่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ออกมาเตือนว่าสารแทนความหวานอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด แถมไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักในระยะยาวในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 

“การแทนความหวานด้วยสารแทนความหวานไม่ช่วยให้คนสามารถควบคุมน้ำหนักในระยะยาวได้ พวกเราเห็นว่ามันช่วยได้แค่ในระยะสั้นๆ แต่มันยังไม่ยั่งยืนพอ” ฟรานเชสโก แบรนกา (Francesco Branca) ประธานฝ่ายสารอาหารและความปลอดภัยเกี่ยวกับอาหารขององค์การอนามัยโลก กล่าว  

นอกจากจะไม่ยั่งยืนในระยะยาวแล้ว การศึกษายังพบว่าหากยังทานสารแทนความหวานต่อไปอาจเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน 2 ชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะฉะนั้นใครที่กำลังประสบปัญหากับโรคอ้วน การทานสารให้ความหวานในระยะยาวอาจส่งผลเสียมากกว่าเดิม  

สารให้แทนความหวานถูกใช้อยู่บ่อยครั้งในผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิด ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกเคยออกมาเตือนการบริโภคมาแล้วเมื่อปี 2015 สำหรับผู้บริโภค โดยแนะนำว่าผู้ใหญ่และเด็กควรลดปริมาณความหวานจากสารแทนความหวานน้ำตาลต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานที่ได้รับต่อวัน  

“คำแนะนำนี้อ้างอิงจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเน้นย้ำเกี่ยวกับการใช้สารแทนความหวานที่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการลดน้ำหนัก เพราะจะไปลดพลังงานในร่างกาย” เอียน จอห์นสัน (Ian Johnson) นักวิจัยสารอาหาร อธิบาย “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการทานน้ำตาลไม่มีความเกี่ยวโยงอะไรกับกับการคุมน้ำหนัก” จอห์นสัน อธิบายต่อว่าแทนที่เราจะดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เราควรทานผลไม้แทน ส่วนบางคนแนะนำว่าควรแทนของหวานที่มีปริมาณแคลอรีต่ำ 

ปัจจุบันมีการใช้สารแทนความหวานหลายแบบในวงการวิทยาศาสตร์อาหารทั้งจากการสังเคราะห์และจากธรรมชาติ เช่น แอซีซาเฟม เค (acesulfame K), แอสปาร์แตม (aspartame), แอดวานแตม (advantame), ไซคลาเมตส์ (cyclamates), นีโอแตม (neotame), แซคชาริน (saccharin), ซูคราโลส (sucralose), สตีเวีย (stevia) หรือหญ้าหวาน และความหวานจากหล่อฮั้งก้วย เป็นต้น 

“หญ้าหวานและหล่อฮั้งก้วยคือสารให้ความหวานใหม่ที่มีการค้นคว้าน้อยมากในวงการวิทยาศาสตร์” แบรนกา กล่าว “สารเหล่านี้อาจทำงานต่อร่างกายเหมือนกับสารให้ความหวานตัวอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นเราไม่สามารพูดได้ว่าสารพวกนี้มีความแตกต่างกันมากหากอิงตัวข้อมูลที่เรามี”  

หลายคนคิดว่าหญ้าหวานเป็นสารที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะสกัดมาจากต้นหญ้าหวาน แต่ล่าสุดมีงานวิจัยเผยว่าหากกินสารให้ความหวานอย่างหญ้าหวาน, หล่อฮั้งก้วย สามารถก่อให้เกิดการแข็งตัวของเลือด, การอุดตันของเส้นเลือด และภาวะหัวใจวาย  

แบรนกาแนะนำว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือการเลี้ยงดูลูกให้ทานหวานน้อยตั้งแต่เด็ก 

“พวกเราต้องตั้งเป้าหมายไปที่เด็กในช่วงแรกๆ เลย ทำไมพ่อแม่มักใช้ความหวานหลอกล่อเด็กเป็นรางวัลหลังอาหารเกือบทุกมื้อเลย? พวกเราต้องแนะนำให้พ่อแม่เลิกสร้างค่านิยมการให้ของหวานแก่เด็กเล็ก มันเป็นเรื่องสำคัญมาก”  

สำหรับวัยผู้ใหญ่ทุกคนนั้นสามารถฝึกปุ่มรับรสบนลิ้นของเราได้ด้วยการทานโปรตีนและอาหารที่มีกากใย การทานสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความอยากน้ำตาลหรือความหวานได้ เวลาไปห้างสรรพสินค้า สิ่งแรกที่ควรคำนึกถึงคือเลิกซื้อเครื่องดื่มน้ำตาลติดบ้าน เวลาเลือกทานโยเกิร์ตให้กินโยเกิร์ตกรีกไร้น้ำตาล, อาหารชนิดโฮลเกรน เช่น ซีเรียล หรือขนมปัง, ชาหรือกาแฟให้กินแบบไม่ใส่น้ำตาล หรือหวานน้อยที่สุด ถ้าอยากทานน้ำหวานแนะนำให้ทานผลไม้ เพราะมีทั้งความหวานและน้ำเหมือนกัน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์