ฮาวทูกู้โลกรวน ฉบับพูดง่าย ทำยาก
วิธีที่ 28 อยู่กับธรรมชาติ (โลกรวน เพราะใจเธอว์มันร้อน)
โลกรวน เพราะมนุษย์ใจเร็วด่วนได้ ใช้ชีวิตเกินธรรมชาติ โลกจึงพัง กายและใจคนจึงป่วย
แนะนำ: หาเวลาอยู่กับธรรมชาติ ให้ธรรมชาติได้สอนใจ ช้าลงหน่อย ง่ายขึ้นอีกนิด ความยั่งยืนรออยู่ที่ตรงนั้น

WHAT (เกิดอะไรขึ้นอ่ะ?)
โลกร้อนจนรวน เพราะมนุษย์ถลุงทรัพยากรโลกเป็นว่าเล่น ต้องยอมรับว่าหลังมนุษย์พาตัวเองเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ระบบทุนนิยมขึ้นแท่นเป็นแนวคิดหลักทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรโลกถูกมนุษย์ฉกฉวยมาใช้เป็นปัจจัยในการผลิต ขาย และบริโภคอย่างมูมมาม
ทรัพยากรโลกร่อยหรอ ผลิตใหม่ไม่ทันใช้ ระบบนิเวศเร่ิมมีปัญหา จนโลกเริ่มไม่สบาย เพราะความปกติของระบบธรรมชาติ ถูกมนุษย์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และเอาแต่ได้ ทำร้ายอย่างเห็นแก่ตัว
มนุษย์กำลังใช้ชีวิตเกินธรรมชาติ ไม่ใช่แค่โลกพัง แต่เรากำลังย่ำยีร่างกายและจิตใจตัวเองจนบอบช้ำ
มนุษย์ในโลกวันนี้จึงซึมเศร้า เหงาง่าย และหลายคนอยู่อย่างซังกะตายมากกว่ามีชีวิตอยู่

WHY (ทำไมโลกร้อนล่ะ, เกี่ยวไร?)
ถึงแม้สาเหตุจากธรรมชาติจะมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ก็มีส่วนเพียงเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับตัวการอย่างมนุษย์
95% คือตัวเลขสัดส่วนที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่า มนุษย์เป็นตัวการที่ทำให้โลกร้อน
ปกติการใช้ชีวิตของคนๆ หนึ่งตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงเข้านอน ก็ทำร้ายโลกอยู่แล้ว เพราะทุกสิ่งที่เราทำและใช้ ส่วนฉกฉวยมาจากส่วนหนึ่งส่วนใดของโลกทั้งสิ้น

ไม่ว่าน้ำประปา ยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เสื้อผ้าที่ใส่ อาหารที่กิน เครื่องเทศเครื่องปรุง ภาชนะ ยานพาหนะการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และเครื่องใช้ในบ้าน หรือแม้แต่ ‘บ้าน’ ที่เราอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของหินที่ระเบิดมาจากภูเขา
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่เรื่องผิดบาป แต่ปัญหาคือเราใช้ทรัพยากรกันอย่างฟุ่มเฟือยเกินไป ใช้โดยไม่คิดถึงโลกและใคร นอกจากการปรนเปรอตัวเอง
ปัญหาโลกร้อนนำมาซึ่งปัญหาอีกสารพัดตามทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก ทุกๆ ระดับความร้อนที่เพิ่มขึ้น กำลังหมุนโลกไปสู่หายนะ
HOW (ทำอย่างไรล่ะทีนี้)
การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ จะช่วยให้มนุษย์รักษ์โลกได้อย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา เราอาจแค่รักษ์โลกเพียงลมปาก หันมายั่งยืนกันตามกระแส แต่ไม่ได้รู้สึกรู้สากับธรรมชาติที่กำลังย่ำแย่ โลกจึงไม่เคยดีขึ้นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
หากมนุษย์ลองหาเวลามาอยู่ใกล้ธรรมชาติมากขึ้น อาจเป็นการใช้เวลาในตอนเย็นหรือวันหยุดไปกับการนั่งใต้ร่มไม้ หรือหย่อนใจในสวนสาธารณะใกล้บ้าน หรือจะเป็นกิจกรรมอย่างอื่นที่พาเราให้มาอยู่กับธรรมชาติ ไม่นานเราจะตกหลุมรักธรรมชาติได้เองโดยไม่ต้องพยายาม

เพราะการอยู่ใกล้ธรรมชาติ จะช่วยให้เรามีความสุข ธรรมชาติจะสอนใจและคติชีวิตที่สอดคล้องกับความเป็นปกติของธรรมชาติ ช้าลงหน่อย มั่นคงมากขึ้น ง่ายขึ้นอีกนิด ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนมีจังหวะของตัวเอง เราจะหันกลับมามองโลกที่อยู่ด้วยสายตาใหม่ ตั้งคำถามกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นไป ทำไมมนุษย์ต้องทำงานหนักขนาดนั้น ทำไมหัวใจเราจึงเปราะบางและเศร้าง่าย
ใช่หรือไม่ว่าเรากำลังใช้ชีวิตกันเกินกำลัง และเกินสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากเกินไป
โลกร้อนและรวนที่เกิดขึ้นภายนอกนั้น คือภาพสะท้อนโลกที่เกิดขึ้นภายใน เราปั่นป่วน แปรปรวน ไม่เป็นปกติ และความสุขกำลังเหือดแห้งหายไปเช่นเดียวกับชั้นบรรยากาศบนโลก
อยู่กับธรรมชาติให้มาก แล้วเราจะเรียนรู้ว่า ความสุขและความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน เลิกฉาบฉวย ด่วนได้ ใจเร็ว
หันมาปรับชีวิตให้เรียบง่าย ความสุขจะเกิดขึ้นเอง เมื่อโลกภายนอกและข้างในเย็นลง
