รองเท้าส้นสูงแท้จริงถูกสวมโดยผู้ชาย แต่ทำไมกลายเป็นของผู้หญิงไปเสียได้?

26 ม.ค. 2566 - 09:38

  • รองเท้าส้นสูงกำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศเปอร์เซีย จากนั้นก็กลายเป็นที่นิยมในกลุ่มชนชั้นสูงยุโรป ก่อนจะมาเป็นรองเท้าสำหรับผู้หญิงเพราะบริบททางสังคม

history-of-high-heeled-shoes-SPACEBAR-Tablet
แฟชั่นมักเป็นสิ่งพ่วงติดอยู่กับบริบททางสังคมอยู่เสมอ นอกจากนั้นมันอาจเป็นหนึ่งในกระแสนิยมที่เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความเป็นตัวบุคคล (คนที่โด่งดังในสังคม) ชุมชน และการเมือง เป็นต้น เพราะฉะนั้นแล้ว แฟชั่นไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์แฟชั่น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรามาศึกษาแค่กับเรื่องวิธีการผูกผ้าพันคออย่างไรให้สวยเก๋ หรือควรมัดผมอย่างไรก็เข้ากับบุคลิกของตนเอง แฟชั่นมีความหมายมากกว่านั้น มันคือองค์ประกอบอันสำคัญที่แสดงถึงความเป็นสังคมมนุษย์ การอยู่ร่วมกัน รวมถึงสะท้อนซึ่งความคิดผ่านการแสดงออกทางด้านการแต่งกาย 
 
เมื่อเรามองผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบตัว จะสังเกตเห็นได้ว่าแฟชั่นเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น และไม่ได้เจาะจงอยู่แค่แบบเดียวเพื่อตอบโจทย์ค่านิยมในสังคม จากที่ชุดสูทเคยเป็นการแต่งกายของเพศชาย ตอนนี้ทุกเพศก็สามารถสวมใส่ชุดสูทได้ เช่นเดียวกับเนคไท ชุดเดรส และรองเท้าส้นสูง 
 
ในปัจจุบันมีนักแสดงชายเริ่มหันมาใส่รองเท้าส้นสูงออกงานต่างๆ ด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ บางคนอาจไม่เห็นด้วยว่า รองเท้าส้นสูงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงควรสวมใส่อยู่ดี หากต้องการแต่งออกมาให้ดูดี แต่หารู้ไม่ว่า รองเท้าส้นสูงในอดีตเคยเป็นแฟชันสำหรับผู้ชายก่อนที่จะมาเป็นของผู้หญิงเสียอีก
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4hQI2D1JQNxKcZfvWAqghn/8c423b90c1af9700ea596b3e5ffb67ce/history-of-high-heeled-shoes-SPACEBAR-Photo01
Photo: รองเท้าขี่ม้าของทหารเปอร์เซีย Photo: BBC
ที่มาของรองเท้าส้นสูงสามารถสืบย้อนไปได้ไกลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในประเทศเปอร์เซีย ทหารเปอร์เซียมีความจำเป็นต้องใช้ร้องเท้าส้นสูงเพื่อสอดกับโกลนเวลาขี่ม้า ต่อมาผู้ลี้ภัยชาวเปอร์เซียก็นำเทรนด์การใส่รองเท้าส้นสูงนี้ไปเผยแพร่ต่อในยุโรป และเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มชนชั้นสูง เพราะการใส่รองเท้าส้นสูง นอกจากจะให้ความสูงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกน่าเกรงขามอีกด้วย 
 
จากนั้นในระหว่างปีคริสต์ศตวรรษที่ 15-17 รองเท้าเริ่มมีการเสริมส้นให้สูงขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ส้นตึก’ และเป็นที่นิยมกันในหมู่ผู้หญิงชนชั้นสูงในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเวนิสที่มีความสูงของส้นถึง 54 เซนติเมตร ผู้หญิงในยุคนั้นมักสวมใส่รองเท้าและปิดคลุมด้วยชายกระโปรงเพื่อทำให้รู้สึกเหมือนสูงตามธรรมชาติ และยิ่งชายกระโปรงยาวมากเท่าใดก็ยิ่งบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมมากขึ้นเท่านั้น
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7hg5j2WrhzAj1pdeo5DWF/0a0402e3858d006730113761859b9ef4/history-of-high-heeled-shoes-SPACEBAR-Photo02
Photo: รองเท้าส้นตึก Photo: Wikimedia
ในปี 1673 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เคยสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีแดงไปยังพระราชสำนักฝรั่งเศส หลังจากนั้นรองเท้าส้นสูงก็กลายเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงไปโดยปริยาย
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6EdSNFKwdOAPCHtwFbEzxy/15a33fc03311d2f0b175a03b79c4cbe9/history-of-high-heeled-shoes-SPACEBAR-Photo03
Photo: พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับรองเท้าส้นสูง Photo: Google Arts and Culture
แฟชั่นการใส่รองเท้าส้นสูงของผู้ชายเริ่มเสื่อมนิยมลงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 เนื่องจากการมาของยุคเรืองปัญญา ผู้ชายเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเรื่องเพศ ปรัชญา สังคม มากขึ้น โดยมีค่านิยมที่ว่าผู้ชายมีเหตุผลมากกว่าผู้หญิง และมองว่าผู้หญิงเป็นเครื่องหมายของความเจ้าอารมณ์ เรื่องนี้ยังส่งผลโดยตรงกับเรื่องการแต่งกายอีกด้วย ผู้ชายในยุคนั้นเริ่มแต่งตัวโทนสีเดียว ลดความมีสีสันน้อยลงเพื่อลดค่านิยมบ่งบอกสถานะผ่านการแต่งกาย การสวมรองเท้าส้นสูงจึงตกไปกลายเป็นการแต่งกายของผู้หญิงมาถึงปัจจุบัน 
 
อย่างที่กล่าวไปว่าแฟชั่นมีการผูกโยงอยู่กับบริบททางสังคมอยู่เสมอ ประวัติศาสตร์ที่มาของรองเท้าส้นสูงจึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ถ้าเราตัดเรื่องค่านิยม ความเชื่อ และบริบททางสังคมออกไป และใช้ชีวิตด้วยความเสรีภาพอย่างถ่องแท้ รองเท้าส้นสูงนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเพศใดเป็นพิเศษ แต่ถูกออกแบบมาเพื่อมนุษย์ทุกเพศทุกวัย เราอาจไม่จำเป็นต้องสวมใส่เพื่อแสดงสถานะ ขอเพียงแค่มั่นใจในความเป็นตัวเรา และแสดงออกต่อสังคมได้อย่างภาคภูมิ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์