“เพราะการวิ่งเปรียบเสมือนเป็นทุกอย่างในชีวิตของผม” นี่คือสิ่งแรกที่ผมยิงคำถาม ‘โยนาส คินเด’ นักวิ่งผู้ลี้ภัยที่มีโอกาสเดินทางมาประเทศไทย เพื่อเข้าแข่งขันรายการ ‘Bangsaen 21 Half – Marathorn’ โดยการมาในครั้งนี้ของเขานอกจากจะมาในฐานะผู้เข้าแข่งขันรายการนี้แล้ว เขายังมาในนามของตัวแทนจาก Unicef เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและการเติบโตจนมาถึงทุกวันนี้ของเจ้าตัว
และเมื่อเรามีโอกาสได้คุยกันกับ ‘โยนาส คินเด’ ทั้งทีบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตและการวิ่งของเขาจึงเกิดขึ้น ส่วนเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เราอยากให้ทุกคนได้อ่านกันในบทสัมภาษณ์นี้
จุดเริ่มต้นในการวิ่ง
มันเริ่มต้นจากตอนเด็กๆ เลยครับ ด้วยความที่บ้านของผมอยู่ห่างโรงเรียนประมาณ 8 กิโลเมตร ทำให้ผมต้องวิ่งทุกวัน วิ่งไป-กลับ คุณแม่ให้เงินขึ้นรถบัสผมก็ไม่ยอมไปขึ้น เพราะคิดว่า นี่คือความสุขของผมก่อนที่จะไปเจออะไรยากๆ ในชีวิตที่โรงเรียนเลยเริ่มออกวิ่งจากตอนนั้นครับ ผมใส่รองเท้าแตะวิ่งไปด้วยนะ (หัวเราะ) แต่มันไม่รู้สึกบาดเจ็บเท้าใดๆ เพราะความนุ่มและหนาของพลาสติกจากรองเท้าในตอนนั้นช่วยผมไว้อยู่ พอวิ่งไปสักพักก็เลยทำให้ปรับตัวได้กับสิ่งนี้ครับ ผมเคยไปวิ่งแข่งด้วยรองเท้าแตะด้วยนะ
จากการวิ่งด้วยรองเท้าแตะสู่ความแข็งแรงที่เหนือคนอื่น
ไม่เลย ผมไม่คิดว่ารองเท้าจะช่วยทำให้ผมแข็งแรงขึ้นนะ มันน่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกินมากกว่าที่ช่วยเรื่องนี้มันสำคัญมากๆ ผมกินอาหารออแกนิก ในประเทศของผมนิยมกินอาหารประเภทนี้และมันเลยทำให้ผมแข็งแรงขึ้น บางคนกินเค้ก กินขนมต่างๆ กัน ผมเองก็กินอาหารที่แตกต่างจากพวกเขาครับ ผมชอบกินขนมปังกับกล้วยทุกเช้าครับ มันช่วยเสริมสร้างพลังงานกล้ามเนื้อของผมได้ดีมากๆ เลย
การตัดสินใจครั้งสำคัญสู่การแข่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิต
การแข่งขันครั้งแรกของผมมันคือ ฮาลฟ์ มาราธอน ผมเริ่มวิ่งจากโรงเรียนบ่อยๆ จนคุณครูมาเห็นผมวิ่งบ่อยๆ ก็เลยลองให้ผมไปออกวิ่งที่สนามหญ้า ครูก็บอกผมว่านี่คือการวิ่ง 400 เมตร จนผมวิ่งได้อันดับที่ 1 ก็เลยรู้สึกว่าน่าลองทำอะไรสักอย่างใหม่ๆ ให้ชีวิตเลยมาลองลงแข่ง ฮาลฟ์ มาราธอน ตอนอยู่ที่ลักเซมเบิร์ก ปี 2012 พอวิ่งแล้วก็ได้ไปเห็นตัวเองอีกทีบนหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ไม่รู้ว่า เขาพูดถึงอะไร จนเห็นตัวเลขว่า ใช้เวลาทั้งหมด 13 นาที รู้สึกว่า เราก็สนุกกับสิ่งนี้เหมือนกันและดีใจมากๆ ที่ครั้งแรกเราทำได้ ผมคิดว่า ผมสามารถทำทุกสิ่งได้แล้ว หลังจากที่วิ่งแล้วประสบความสำเร็จ
“ผมคิดว่า การวิ่งมันยากมากๆ ถ้าเข้าเส้นชัยไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอันดับไหนก็ตาม หลังจากนี้เราก็สามารถทำได้ทุกสิ่งแล้ว”
โอลิมปิกเกมส์กับครั้งหนึ่งในชีวิตที่พิชิตการแข่งขันครั้งนี้ได้
ผมดีใจมากๆ ผมจำได้เลย ตอนที่รู้ว่าจะได้ไปแข่งโอลิมปิกเกมส์ ผมอยู่บนรถบัสรับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิท เพื่อนบอกผมว่า ผมมีรายชื่อติดทีมโอลิมปิกเกมส์ไปแข่งขันมาราธอน ผมกระโดดโลดเต้นอยู่บนรถบัสอยู่คนเดียว คนนึกว่า ไอ้หมอนี่น่าจะบ้า (หัวเราะ) แต่มันมีความสุขมากจริงๆ นะครับ การได้ไปอยู่ในแคมป์นักกีฬา เจอผู้เข้าแข่งขันเก่งมากมาย มันทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือประสบการณ์ที่สวยงามของผมเลย
การพบเจอกับนักวิ่งระดับโลกที่เส้นชัยกับบรรยากาศที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในชีวิต
โอลิมปิกเกมส์เป็นการแข่งขันระดับชาติที่ยิ่งใหญ่มากๆ ผมรู้จักนักวิ่งหลายๆ คนก่อนที่จะได้เจอตัวจริงในการแข่งขันครั้งนั้น ทุกคนน่ารักมากๆ ค่อยให้กำลังใจกันและกัน มันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมจะเก็บประสบการณ์นี้ไว้จนวันตายเลย ทั้งการพบเจอสมาชิกในทีมของผม การพูดคุยกับนักกีฬาตัวหลักของแต่ละชาติ มันเป็นสิ่งพิเศษมากๆ ครับ
ประเทศไทยกับประสบการณ์ครั้งแรกสู่การลงฮาลฟ์ มาราธอน รายการ ‘Bangsaen 21 Half – Marathorn’
ผมทำการบ้านมามากพอสมควรเลยครับ ทั้งการซ้อมวิ่ง สร้างวินัยในการฝึกซ้อม แต่ความยากคือ ประเทศลักเซมเบิร์กเป็นฤดูหนาว ทำให้การซ้อมมันยากมากๆ การมาประเทศไทยครั้งนี้ผมเลยคาดหวังว่า ผมจะทำให้ดีที่สุดอยากจะอยู่ในโพลเดียม อยากเจอเพื่อนใหม่ๆ ในการวิ่ง แม้ท้ายที่สุดจะไม่ได้รางวัลอะไรก็ตาม แต่ผมคิดว่า ผมน่าจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ จากการแข่งขันวิ่งในครั้งนี้
สิ่งที่อยากฝากกับคนที่จะเริ่มวิ่งและอยากทำให้ได้เป็นประจำ
อันดับแรกเลยก่อนที่จะเริ่มวิ่ง ต้องทำให้มันเกิดขึ้นประจำให้ได้ก่อน ต้องโฟกัสกับสิ่งที่เราจะทำค่อยๆ วิ่งสะสมกิโลเมตรไป ไม่ต้องหักโหม แต่ต้องสม่ำเสมอและต้องมีรองเท้าวิ่งที่ดี อันนี้สำคัญมากๆ เพราะมันจะทำให้คุณวิ่งได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ ช่วงแรกมันอาจจะยากมากกับการต้องเอาชนะใจตัวเอง แต่เมื่อชนะใจตัวเองได้แล้ว ที่เหลือมันคือกำไรที่คุณจะได้รับจากการวิ่งแล้ว ต้องสู้กับใจตัวเองครับ แค่นั้นเลย
การวิ่งให้อะไรกับคุณบ้าง ตั้งแต่เริ่มวิ่งมา
มันให้อะไรกับผมมากมายเลย ทั้งเพื่อนใหม่ การได้เดินทางไปที่ใหม่ๆ ผมคิดว่า ถ้าไม่มีการวิ่งก็คงไม่มีผมอยู่ตรงนี้ ผมขอบคุณมากๆ ที่ตัวเองได้รู้จักกับสิ่งนี้ มันมากกว่าการเอาร่างกายออกไปวิ่ง แต่มันคือเอาการจิตวิญญาณของเราไปวิ่งด้วยในทุกครั้งที่ได้ก้าวเท้าออกเดิน การวิ่งทำให้ผมแข็งแกร่งครับ