หลายคนรวมถึงเราเองอาจจะติดปาก-คุ้นหูกับคำว่า ‘เบื่อวันจันทร์’ แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้เบื่อวันจันทร์กันหรอก แต่เขาเบื่อวันศุกร์ (ช่วงบ่าย) กันต่างหาก!
เราก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเหมือนกันว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มันช่างผ่านไปไวเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรู้สึกเบื่อหน่าย ถอนหายใจวันละหลายทีเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ แต่ผลการวิจัยจากงานวิจัยชิ้นใหม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานวิจัยจากโรงเรียนสาธารณสุข Texas A&M ศึกษาวิธีที่พนักงานใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อค้นหาความมีประสิทธิภาพ หรือที่เราเรียกกันว่า โปรดักทีฟ (Productive) ของพนักงานว่าเกิดขึ้นในวันและเวลาใดมากที่สุด รวมถึงน้อยที่สุด
มาร์ค เบนเดน (Mark Benden) ผู้อำนวยศูนย์วิจัยนี้บอกว่า การวิจัยในครั้งนี้เป็นการค้นหาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ซึ่งเราไม่ได้ใช้ข้อมูลจากการรายงานตัวของพนักงาน หรือข้อมูลจากหัวหน้างาน แต่เป็นการเอาข้อมูลจากการใช้งานคอมพิวเตอร์แทน พวกความเร็วในการพิมพ์ข้อความ ข้อผิดพลาดในการพิมพ์ กิจกรรมการคลิกต่างๆ ของเมาส์ จากกลุ่มพนักงาน 789 ราย ในบริษัทพลังงานขนาดใหญ่เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นนำมาเปรียบเทียบการใช้คอมพิวเตอร์ในวันต่างๆ ของสัปดาห์และช่วงเวลาของวัน เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แทฮยอน โรห์ (Taehyun Roh) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาระบาดวิทยาและชีวสถิติกล่าวว่า เราพบว่าการใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นในระหว่างสัปดาห์ จากนั้นก็ลดลงอย่างมากในวันศุกร์ ผู้คนพิมพ์คำต่างๆ ขยับเมาส์ คลิกเมาส์ และเลื่อนไปมามากขึ้นทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี จากนั้นกิจกรรมเหล่านี้ก็จะน้อยลงในวันศุกร์
และสำหรับใครที่ยังโทษวันจันทร์ รู้หรือไม่ว่า วันจันทร์นี่แหละเป็นวันที่มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราไฟแรง และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
จากการสำรวจพนักงานมากกว่า 2,000 คนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จัดทำโดย Canon USA เปิดเผยว่า วันจันทร์เป็นวันที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุดในสัปดาห์ โดย 28% ของพนักงานบอกว่าพวกเขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากในวันจันทร์ ซึ่งในกลุ่ม 28% ที่เห็นด้วยนี้กว่า 39% เป็นกลุ่มคนอินโทรเวิร์ต (เก็บตัว, ไม่ชอบการเข้าสังคม)
โรห์กล่าวว่า นอกจากวันจันทร์จะเป็นวันที่พนักงานจะมีไฟในการสร้างสรรค์งานต่างๆ แล้ว การที่นายจ้างหรือหัวหน้าสั่งงาน มอบหมายหน้าที่ต่างๆ ให้ตั้งแต่เช้า จะดีกว่าช่วงบ่าย เพราะช่วงบ่ายความกระตือรือร้นจะน้อยลง และพิมพ์ผิดมากขึ้น โดยเฉพาะในบ่ายวันศุกร์
โรห์กล่าวด้วยว่า สิ่งนี้สอดคล้องกับการค้นพบที่คล้ายกันที่ว่าจำนวนงานที่พนักงานทำเสร็จเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ จากนั้นจะลดลงในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์
มากไปกว่านั้นเบนเดนยังกล่าวว่า การศึกษานี้สามารถช่วยผู้ที่จะริเริ่มธุรกิจได้ โดยถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความยั่งยืนในสถานที่ทำงาน เช่นการทำงาน 3-4 วันต่อสัปดาห์ การทำงานแบบผสม (เข้าออฟฟิศสลับกับทำงานที่บ้าน) หรือการมอบหมายงานทุกเช้า ฯลฯ
แต่จากการศึกษาของ WFH Research พบว่า แม้ว่าโมเดลการทำงานแบบผสม หรือการทำงานจากบ้านจะได้รับการยอมรับหลังโรคระบาด แต่ในเดือนพฤษภาคม พนักงานเกือบ 60% ยังคงทำงานอยู่ที่บ้าน และนายจ้างบางรายได้ปรับใช้สัปดาห์การทำงานแบบอัดแน่น ทำให้พนักงานต้องทำงานนานขึ้นเพื่อแลกกับการไม่ต้องเดินทางมาออฟฟิศ
แต่จากการทดลองล่าสุดโดยใช้วิธีการทำงานสัปดาห์ละ 4 วันในสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์ ที่มอบโอกาสให้พนักงานทำงานจำนวนน้อยวันลง ซึ่งหลังจากนั้น 6 เดือนพวกเขาพบว่าพนักงานมีความเหนื่อยน้อยลง สุขภาพดีขึ้น และพึงพอใจจะทำงานมากขึ้น
ขณะที่ผู้ที่ทำการทดลองนี้มองว่า บริษัทที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไม่ได้ขอ (หรือบังคับ) ให้พนักงานของเขาเร่งความเร็วในการทำงานและอัดงานเข้ามาเนื่องจากจำนวนวันทำงานน้อยลง เพียงแต่พวกเขาประชุมกันน้อยลง และให้เวลาในการทำงานมากขึ้น รวมถึงมีเวลาในการตั้งสติ และทำสมาธิมากขึ้นด้วย
เรื่องนี้ทำให้เราตั้งข้อสังเกตต่อว่าการจัดการงานที่ยืดหยุ่นอาจช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัทในรูปแบบอื่นๆ เช่น การลดค่าไฟ ค่าพลังงานอื่นๆ และค่าเช่าพื้นที่สำนักงานด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถหากิจกรรมกระชับความสัมพันธ์อื่นๆ กับทีมงานที่จะทำให้เราสนิทใจกันได้มากกว่าการนั่งพูดคุยกันผ่านคอกกั้นในออฟฟิศ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกเหมือนกันว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มันช่างผ่านไปไวเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และรู้สึกเบื่อหน่าย ถอนหายใจวันละหลายทีเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ แต่ผลการวิจัยจากงานวิจัยชิ้นใหม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานวิจัยจากโรงเรียนสาธารณสุข Texas A&M ศึกษาวิธีที่พนักงานใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อค้นหาความมีประสิทธิภาพ หรือที่เราเรียกกันว่า โปรดักทีฟ (Productive) ของพนักงานว่าเกิดขึ้นในวันและเวลาใดมากที่สุด รวมถึงน้อยที่สุด
มาร์ค เบนเดน (Mark Benden) ผู้อำนวยศูนย์วิจัยนี้บอกว่า การวิจัยในครั้งนี้เป็นการค้นหาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ซึ่งเราไม่ได้ใช้ข้อมูลจากการรายงานตัวของพนักงาน หรือข้อมูลจากหัวหน้างาน แต่เป็นการเอาข้อมูลจากการใช้งานคอมพิวเตอร์แทน พวกความเร็วในการพิมพ์ข้อความ ข้อผิดพลาดในการพิมพ์ กิจกรรมการคลิกต่างๆ ของเมาส์ จากกลุ่มพนักงาน 789 ราย ในบริษัทพลังงานขนาดใหญ่เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นนำมาเปรียบเทียบการใช้คอมพิวเตอร์ในวันต่างๆ ของสัปดาห์และช่วงเวลาของวัน เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ช่วงเวลาที่มนุษย์ออฟฟิศเบื่อหน่ายที่สุด
ใน 1 สัปดาห์ จะมี 1 วันที่มนุษย์ออฟฟิศเชื่องช้าและเบื่อหน่ายมากที่สุด และนั่นไม่ใช่วันจันทร์ แต่กลับเป็น ‘บ่ายวันศุกร์’แทฮยอน โรห์ (Taehyun Roh) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาระบาดวิทยาและชีวสถิติกล่าวว่า เราพบว่าการใช้คอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นในระหว่างสัปดาห์ จากนั้นก็ลดลงอย่างมากในวันศุกร์ ผู้คนพิมพ์คำต่างๆ ขยับเมาส์ คลิกเมาส์ และเลื่อนไปมามากขึ้นทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี จากนั้นกิจกรรมเหล่านี้ก็จะน้อยลงในวันศุกร์
และสำหรับใครที่ยังโทษวันจันทร์ รู้หรือไม่ว่า วันจันทร์นี่แหละเป็นวันที่มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราไฟแรง และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
จากการสำรวจพนักงานมากกว่า 2,000 คนในเดือนกุมภาพันธ์ที่จัดทำโดย Canon USA เปิดเผยว่า วันจันทร์เป็นวันที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุดในสัปดาห์ โดย 28% ของพนักงานบอกว่าพวกเขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากในวันจันทร์ ซึ่งในกลุ่ม 28% ที่เห็นด้วยนี้กว่า 39% เป็นกลุ่มคนอินโทรเวิร์ต (เก็บตัว, ไม่ชอบการเข้าสังคม)
โรห์กล่าวว่า นอกจากวันจันทร์จะเป็นวันที่พนักงานจะมีไฟในการสร้างสรรค์งานต่างๆ แล้ว การที่นายจ้างหรือหัวหน้าสั่งงาน มอบหมายหน้าที่ต่างๆ ให้ตั้งแต่เช้า จะดีกว่าช่วงบ่าย เพราะช่วงบ่ายความกระตือรือร้นจะน้อยลง และพิมพ์ผิดมากขึ้น โดยเฉพาะในบ่ายวันศุกร์
โรห์กล่าวด้วยว่า สิ่งนี้สอดคล้องกับการค้นพบที่คล้ายกันที่ว่าจำนวนงานที่พนักงานทำเสร็จเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ จากนั้นจะลดลงในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์
มากไปกว่านั้นเบนเดนยังกล่าวว่า การศึกษานี้สามารถช่วยผู้ที่จะริเริ่มธุรกิจได้ โดยถือเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความยั่งยืนในสถานที่ทำงาน เช่นการทำงาน 3-4 วันต่อสัปดาห์ การทำงานแบบผสม (เข้าออฟฟิศสลับกับทำงานที่บ้าน) หรือการมอบหมายงานทุกเช้า ฯลฯ
แต่จากการศึกษาของ WFH Research พบว่า แม้ว่าโมเดลการทำงานแบบผสม หรือการทำงานจากบ้านจะได้รับการยอมรับหลังโรคระบาด แต่ในเดือนพฤษภาคม พนักงานเกือบ 60% ยังคงทำงานอยู่ที่บ้าน และนายจ้างบางรายได้ปรับใช้สัปดาห์การทำงานแบบอัดแน่น ทำให้พนักงานต้องทำงานนานขึ้นเพื่อแลกกับการไม่ต้องเดินทางมาออฟฟิศ
แต่จากการทดลองล่าสุดโดยใช้วิธีการทำงานสัปดาห์ละ 4 วันในสหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์ ที่มอบโอกาสให้พนักงานทำงานจำนวนน้อยวันลง ซึ่งหลังจากนั้น 6 เดือนพวกเขาพบว่าพนักงานมีความเหนื่อยน้อยลง สุขภาพดีขึ้น และพึงพอใจจะทำงานมากขึ้น
ขณะที่ผู้ที่ทำการทดลองนี้มองว่า บริษัทที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไม่ได้ขอ (หรือบังคับ) ให้พนักงานของเขาเร่งความเร็วในการทำงานและอัดงานเข้ามาเนื่องจากจำนวนวันทำงานน้อยลง เพียงแต่พวกเขาประชุมกันน้อยลง และให้เวลาในการทำงานมากขึ้น รวมถึงมีเวลาในการตั้งสติ และทำสมาธิมากขึ้นด้วย
เรื่องนี้ทำให้เราตั้งข้อสังเกตต่อว่าการจัดการงานที่ยืดหยุ่นอาจช่วยเพิ่มผลกำไรของบริษัทในรูปแบบอื่นๆ เช่น การลดค่าไฟ ค่าพลังงานอื่นๆ และค่าเช่าพื้นที่สำนักงานด้วย นอกจากนี้เรายังสามารถหากิจกรรมกระชับความสัมพันธ์อื่นๆ กับทีมงานที่จะทำให้เราสนิทใจกันได้มากกว่าการนั่งพูดคุยกันผ่านคอกกั้นในออฟฟิศ