Lost In Doubt: ถ้าสิ่งที่คิดว่าผิดมันไม่ผิด? ชวนคุยกับมนุษย์สุดกราฟอย่าง ‘นอท–บ้านกูเอง’

27 กุมภาพันธ์ 2566 - 04:33

lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Thumbnail
  • “ถ้าเราไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่นหรือปล่อยเฟคนิวส์ หิวแสงก็ไม่ผิดปะ ถ้าถามว่าเราเป็นคนหิวแสงไหม กูเป็นหิวแสงมาก แสงมาเหอะ แล้วลูกค้าก็จะมา”

  • “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีเงินก่อน แล้วเราค่อยไปตั้งใจทำคอนเทนต์ที่ภูมิใจและไม่บ้ง”

  • “เราว่าที่คนไทยด่ากันหูดับตับไหม้เพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่เจริญ”

  • “ความชอบที่คิดว่านี่แหละคือตัวเรา…มึงก็ไปหยิบยืมจากคนอื่นมาผสมๆ กัน…ถ้าจะบอกว่าคอนเทนต์ไม่เป็นตัวเองหรือเปล่า คำตอบคือทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็นตัวเองทั้งนั้นแหละ”

  • “ถามว่าตื่นมาแล้วแฮปปี้ที่จะทำงานไหม ไม่ใช่ แต่เราแฮปปี้ที่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจนวันตายอะ กูรอดละ”

“หวัดดีครับ ผมนอท บ้านกูเอง” 
 
นอทนั่งลงบนโซฟากลางบ้าน ลมเย็นๆ พัดผ่านประตูเข้ามาจนไม่ต้องเปิดแอร์ เขายื่นขนมมาให้กินก่อนจะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ เป็นการแนะนำตัวที่สั้นยิ่งกว่าสั้น แต่เชื่อว่าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้หลายคนนึกออกว่าเรากำลังคุยกับนอทไหนอยู่ 

‘บ้านกูเอง’ เริ่มมาจากการเป็นเพจขายขำ ทำไปทำมาจนมีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้านคน และช่องยูทูบที่มีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน นอกจากจะทำคอนเทนต์ตลกแล้ว นอทยังชวนคนมาถกเถียงในประเด็นทางสังคม การเมือง ไปจนถึงปรัชญา และบางครั้งก็ทำคอนเทนต์ศิลปะด้วยอินเนอร์ของเด็กศิลปากร 

ใครที่อยากรู้ความเป็นมาของเพจหรือประวัติส่วนตัวของนอท ขอบอกตามตรงว่าคุณคงไม่ได้คำตอบจากสัมภาษณ์นี้ เพราะสิ่งที่เราจะคุยกันคือเรื่องตัวตนและความคิด ตั้งแต่ความมั่นที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความอยากดัง การทำคอนเทนต์ในยุคที่คนโว้กเต็มเมือง ไปจนถึงแพลนชีวิตที่คิดจะเกษียณตอนอายุเลข 3 เพื่อเล่นกล้าม เรียนภาษา และทำงานศิลปะ… 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4GY3JwscC3FgiBBJg9R9yj/c670340d0f3fb02a1329ec9b54731515/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo02

ปกติแนะนำตัวเองว่า ‘นอท บ้านกูเอง’ ตลอดเลยเหรอ ทำไมถึงไม่แนะนำตัวว่า นอท สัณหณัฐ 

คิดไม่ถึงมั้ง เอ่อ (นิ่งนึก) มันดูเป็นดาราปะ แบบชื่อซ้ำกันเลยต้องมีชื่อจริงต่อ แต่ครีเอเตอร์เขาดังมาจากช่องของเขา เราเลยแนะนำตัวว่า ‘นอท บ้านกูเอง’ 

คิดว่า ‘บ้านกูเอง’ ดังไหม 

เมื่อก่อนคิดว่าดัง คนตามตั้งเป็นล้าน แต่ยิ่งนานไปยิ่งรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรขนาดนั้น หนึ่งล้านมันก็แค่หนึ่งส่วนจากเจ็ดสิบเจ็ดอะ ออกไปมันก็มีคนทัก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้จัก ถ้ามีคนที่ไม่รู้จักเราก็เข้าใจ 

แล้วนอทชอบความดังไหม อยากดังหรือเปล่า 

ตั้งแต่เด็กจำได้เลยว่าเราอยากเด่นอยากดังเสมอ อยากเป็นคนที่ทำให้เพื่อนขำ ไปอยู่หลังห้องเพราะอยากอยู่ในกลุ่มเท่ มีวงดนตรีก็อยากจะเป็นนักร้องนำ แล้วก็คิดว่าตัวเองเท่มากเลย เมื่อก่อนสมมติว่าเดินผ่านคนกลุ่มหนึ่ง แม่งต้องมีคนมองกูแน่นอน กูเท่ คิดงี้เลย แต่ยิ่งโต ยิ่งมาทำงานตรงนี้ มันยิ่งเห็นในโซเชียลว่ามีคนที่แม่งไปไกลกว่านี้ ดูดีกว่านี้ ยอดเยอะกว่านี้ มันก็ยิ่งลดความมั่นลงมา เราไม่ได้เสียความมั่นใจนะ แต่เรามั่นใจในความเป็นจริงว่าเราไม่ได้โคตรดัง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดัง 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6UcZeBTfeRqQ8YWXGQWdjy/bd20d8f5393dbbecf1f6a059f85c41b5/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo03

ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เราชอบความมั่นใจของตัวเองไหม 

ชอบนะ แล้วที่ถามว่าอยากดังไหม เราว่ามันเป็นคำถามที่คนอายที่จะตอบ ความจริงอยากดังมันไม่เป็นไรเลย ถามว่าถ้าไม่อยากดังแล้วมึงจะถ่ายรูปลงโซเชียลทำไม หรือถ้าบอกว่าแค่โพสต์เฉยๆ ก็ได้ แต่ถ้ามึงเริ่มปั้นคอนเทนต์หรือผลิตอะไรออกมาคือมึงอยากให้คนดูเว้ย มึงอยากให้คนชื่นชอบมึง มึงยอมรับเหอะ 

เห็นว่าลองโซเชียลดีท็อกซ์มา เป็นไงบ้าง 

อันนี้ตลกร้ายมาก สารตั้งต้นมันคือเราใช้โซเชียลเยอะเกิน แต่ด้วยความที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทุกอย่างมันจะคิดเป็นคอนเทนต์หมด โซเชียลดีท็อกซ์นี่ก็เหมือนกัน กลายเป็นว่าเราหนีโซเชียลมีเดียเพื่อมาทำคอนเทนต์ลงโซเชียลมีเดีย คือมันไม่ทำก็ได้แหละ แต่เราคิดว่ามันน่าสนใจ 

ที่บอกว่าทุกอย่างคิดเป็นคอนเทนต์หมด เรานึกถึงคำว่า ‘หิวแสง’ ในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์เรารู้สึกยังไงกับการต้องเกาะทุกประเด็น แล้วก็อาจจะโดนด่าว่าหิวแสง 

เคยคิดถึงคำนี้เหมือนกัน คือเราก็เข้าใจได้ว่าทำไม ‘หิวแสง’ ถึงเป็นคำเหยียด เพราะคนที่หิวแสงส่วนใหญ่มักจะเบียดเบียนคนอื่น คือมักจะมีบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากความหิวแสงของเขา แต่ถ้าเราทำให้การหิวแสงเป็นเรื่องไม่ดี ห้ามทำ มันจะมีความกล้าแสดงออกกันได้ยังไงอะ สุดท้ายถ้าเราไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่นหรือปล่อยเฟคนิวส์ หิวแสงก็ไม่ผิดปะ ถ้าถามว่าเราเป็นคนหิวแสงไหม กูเป็นหิวแสงมาก แสงมาเหอะ แล้วลูกค้าก็จะมา 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1ReSyk4MZHHNIA3g6agFjo/375be005251e63a667a6eaa368e90369/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo04

แต่ปกติเวลาทำคอนเทนต์หรือเล่นมุกก็มักจะมีการล้อ เสียดสี แล้วก็มีคนที่ได้รับผลกระทบ จริงไหม  

จริง แต่คิดว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรมันส่งผลกระทบต่ออะไรสักอย่างอยู่แล้ว เมื่อก่อนก็คิดนะว่าเรื่องนั้นก็กระทบคนนี้ เรื่องนี้ก็กระทบคนนั้น พอยิ่งโตยิ่งรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่ตายตัวขนาดนั้นอะ ถ้ามันยังไม่เกินหลักมนุษยธรรมคิดว่าทุกเรื่องทำได้หมดแหละ  
 
ยกตัวอย่างการก็อปคอนเทนต์ก็ได้ ถ้าเกิดคุณเอาเมโลดี้ของเพลงหนึ่งมาดัดแปลง คือเปลี่ยนแล้วแต่ออกมาคล้ายกัน ก็ยังโดนด่าว่าก็อป แต่ถ้าคุณไปทำเทรนด์ในติ๊กต็อกที่แม่งเหมือนกันเป๊ะตั้งแต่ต้นจนจบ ดันทำกันได้เป็นเรื่องปกติ สุดท้ายมันอยู่ที่ว่าสังคมบอกว่าอันไหนผิดหรือถูก แค่นั้นเอง 
 
อีกอย่างก็ต้องดูว่ามันกระทบถึงบุคคลเลยไหม หรือมันเป็นกลุ่มคน แนวคิด ทัศนคติบางอย่าง อย่างถ้าล้อการเมืองฝ่ายขวา ฝ่ายซ้ายก็จะ เอ้ย ตลก แต่ฝ่ายขวาก็จะไม่ชอบ ไอ้เรื่องผลกระทบก็ดี สุดท้ายมันอยู่ที่สังคมพอใจไหม ครีเอเตอร์บางคนอาจจะไม่ได้สนใจหรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกหรือผิด แต่สนใจว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจคนหมู่มากต่างหาก  

แล้วเวลาทำงานนอทพีซี (PC - Politically Correct) แค่ไหน 

ค่อนข้างพีซีนะ แต่เราพีซีในพื้นฐานความเป็นจริงอะ ถ้าเขาบอกว่าทำไม่ได้นะ เราก็จะมองว่ามันไม่ได้เพราะอะไรวะ ทำไมมันถึงไม่ได้ 

ถ้าเป็นมุมลูกค้าล่ะ เราทำงานแบบลูกค้าเป็นพระเจ้าไหม 

คิดว่าทำงานแบบลูกค้าเป็นพระเจ้า เพราะพอยต์คือเราไม่ได้เป็นนักบุญ คือมึงดูคลิปกู มึงสนุก มึงได้เปลี่ยนความคิด มันคือผลพลอยได้ของมึง แต่ถามว่ากูรู้จักมึงไหม กูไม่รู้จัก แต่กูรู้ว่าถ้าชีวิตกูไม่มีตังค์ กูตาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีเงินก่อน แล้วเราค่อยไปตั้งใจทำคอนเทนต์ที่ภูมิใจและไม่บ้ง คิดว่าครีเอเตอร์หลายคนเป็น รวมถึงเราด้วย คือทำคอนเทนต์ไม่บ้งไม่ใช่เพราะเป็นคนไม่บ้ง แต่เพราะสังคมจับจ้องให้ไม่บ้งต่างหาก 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7vsy5nZRwCNdWhW4646SvZ/cdeaa3340a5578e2a9766349e476dd25/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05

แล้วเราอึดอัดไหมกับการเป็นตัวเองไม่ได้ หรือไม่มีอำนาจในการค้านลูกค้า 

ก็อาจจะมีบ้าง แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนถามว่ามึงทำงานนี้เพื่ออะไร ถ้าทำเพื่อคนดูมึงก็ไม่ต้องเอาเงิน ถ้าเอาเงินมึงก็ต้องเอาใจลูกค้า คือมึงตกลงกับตัวเองให้ได้ก่อน หรือถ้ามึงจะเอาทั้งสองก็ได้ แต่ต้องไม่ไปมองว่าลูกค้าผิด แบบกูทำแบบนี้แล้วยอดดีกว่า แต่ยอดดีกว่าแล้วขายของได้ไหม ถ้ามึงเอาตังค์เขามาแล้วคิดแต่ว่าคอนเทนต์นี้ต้องตามใจกู ยอดวิวต้องเยอะ นั่นคือมึงเห็นแก่ตัว สุดท้ายแล้วมันต้องชั่งน้ำหนัก มันอาจจะมีตรงกลาง แต่มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเรา 100% หรอก 
 
ส่วนที่ถามว่ามันจะไม่เป็นตัวเองหรือเปล่า เราเคยมานั่งคิดว่าเป็นตัวเองมันคืออะไรวะ มันไม่มีสักอย่างเดียวที่มึงเป็นแบบนั้นตั้งแต่เกิด มึงไปเติบโตที่ไหนหรือไปเสพอะไรมามึงก็เป็นแบบนั้น ความชอบที่คิดว่านี่แหละคือตัวเรา แต่งตัวแบบนี้ เทสต์แบบนี้ มึงก็ไปเห็นตามนิตยสาร เห็นในหนัง หยิบยืมจากคนอื่นมาผสมๆ กันจนเรียกว่าตัวเรา ฉะนั้นถ้าจะบอกว่าคอนเทนต์ไม่เป็นตัวเองหรือเปล่า คำตอบคือทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็นตัวเองทั้งนั้นแหละ 

นอทดูรู้ว่าทำยังไงลูกค้าชอบ ทำยังไงคนดูชอบ แล้วตัวนอทเองชอบสิ่งที่ทำอยู่ไหม 

ชอบที่มีคนชอบ เราเป็นอย่างนี้มาเสมอ สมมติว่าเราวาดรูป กระบวนการที่ดีที่สุดไม่ใช่ตอนตั้งใจวาด แต่เป็นตอนที่คนเห็นงานแล้วบอกว่าสวย หรือสมมติเรามั่นใจว่าคอนเทนต์นี้เด็ด แต่มันไม่มีคนดูหรือคนแชร์เลย ก็เฟลอยู่ดี แต่ถ้ามันเป็นงานถ่ายเล่นๆ แต่เสือกไวรัล ภูมิใจไหม ภูมิใจ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะภูมิใจก็ต่อเมื่อมีคนบอกว่ามันดี 

ถ้าเราให้คุณค่ากับการชมขนาดนี้ เวลาคนด่าเรารู้สึกแย่มากไหม 

ตรงนี้ก็น่าสนใจนะ ย้อนกลับไปเรื่องเดิมว่าเราเป็นคนมั่นใจในตัวเอง คือถ้าคนชมเราจะแบบ กูบอกแล้วว่ามันเจ๋ง! มันเป็นอย่างที่กูคิดเลย! แต่ถ้าคนด่าคือ ของกูอะดี แต่มึงไม่เก็ตเอง กูอะเจ๋ง มึงอะโง่ นึกออกปะ คือการมั่นใจมาตั้งแต่แรกมันทำให้ไม่ว่าจะทำงานอะไรเราก็ชอบหมด แต่มันจะดีกว่าถ้ามีคนอื่นชอบด้วย ถ้าเทียบกันเราก็รู้สึกดีกับงานที่มีคนชมเยอะกว่าแหละ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/26DBRaG1313e6t8UbrdHWs/09754b654b6f1c094edc1ea355a7e7f0/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05_copy

เคยมีช่วงที่ดาวน์เพราะงานหรือดราม่าไหม 

ช่วงปีแรกๆ เคย เราทำผิดพลาด ก็ต้องกลับมานั่งคิดว่ามันผิดจริงไหม แต่ตอนหลังยังไงก็ไม่ดาวน์ สุดท้ายมันอยู่ที่ว่าเรามองความเป็นจริงได้หรือยัง อย่างที่บอกว่ายอมรับตัวเองว่าหิวแสง ยอมรับตัวเองว่าอยากเด่น ยอมรับตัวเองว่าทำเพื่อลูกค้า แล้วถ้าทำพลาดเราก็มองตัวเองเป็นบุคคลที่สาม ผิดจริงไหม ยอมรับจริงๆ ไหม ถ้าไม่ผิด ช่างแม่งดิ มึงพูดไรก็พูดไป กูมีหลักฐานแย้ง 
 
อย่างกรณีไข่เน่า ตอนแรกคนดูชมฉิบหายเลย แต่พอน้องโดนจับก็ด่ายับเลย เอ้า แล้วกลุ่มคนเมื่อวานหายไปไหนวะ บางคนบอกว่าทำไมไม่ปิดหน้าน้อง เอ้า แล้วอย่างนี้ตะวันหรือแบมที่เขาเต็มใจออกมาพูดเรื่อง 112 เวลาออกข่าวต้องปิดหน้าปิดชื่อเขาเหรอ มันคือเจตจำนงของเขาที่อยากออกมาพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ไข่เน่าก็เหมือนกัน เขาโอเคที่จะพูดแบบเปิดหน้า ยินยอมกันแล้ว แล้วมึงมาด่าอะไรกู นึกออกปะ แล้วถ้าปิดๆๆ คอนเทนต์ครีเอเตอร์จะได้พัฒนาไหม
 
บางคนอาจบอกว่ามันผิดกฎหมาย แต่กฎหมายมันก็เปลี่ยนได้ถ้าสังคมส่วนใหญ่มองว่าถูก ตอนนี้ประเทศบอกว่าสิ่งนี้ผิด แต่ในอนาคตมันอาจจะถูกก็ได้ เราคิดว่าคลิปนั้นไข่เน่าสร้างแรงกระเพื่อมได้ดีมาก แล้วเราเป็นตัวกลางตรงนั้นเฉยๆ 

เป็นความมั่นใจที่ดีนะ ไม่จมหรือหดหู่ไปกับดราม่า 

ก็ต้องมองความเป็นจริงให้ได้ก่อนนะ คือถ้าเราผิดจริงเราต้องยอมรับว่าเราผิด แล้วก็รีบขอโทษและแก้ไข คือคนเรามีโอกาสผิดกันได้ แต่มันก็ควรมีโอกาสแก้ตัวเช่นกัน ซึ่งถ้ามึงมองตัวเองเป็นกลางพอมึงจะสามารถแก้ตัวได้ในวันที่ยังทัน 
 
อย่างตอนนั้นเคยไปถ่ายบีทีเอสแล้วเราก็ปีนป่าย นั่งขวางประตู ภาพที่ออกมาคือแบบ เชี่ย ไม่มีคนทำได้แบบกู พอลงปุ๊บในเฟซบุ๊กนี่ขำก๊ากเลย แต่ทวิตเตอร์แม่งอีกโลกหนึ่งเลย คือด่ายับ มันรบกวนคนเดินไหม ถ้าตกลงมาตายเสียชื่อสถานีไหม คือถึงเราไม่กลัวตาย แต่คนอื่นกลัวเห็นเราตาย แล้วเขาต้องมาเดือดร้อนกับมึงด้วยเหตุผลแค่นี้เหรอ เราก็มานั่งคิด เออ มันก็จริงเว้ย ก็เลยออกมาขอโทษ หลังจากนั้นก็ไม่ทำละ หรือถ้าจะทำก็ต้องขอสถานที่เป็นลายลักษณ์อักษรจริงๆ
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/449CfCy2kHb8yJ3TVKgXjB/38f747d2390f8bc0808ebe4c42bda764/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05_copy_2

จริงๆ คอนเทนต์ครีเอเตอร์แต่ละคนก็โดนดราม่าเป็นช่วงๆ เนอะ ถ้าให้รีวิวสังคมไทย คิดว่าเราใจดีกันมากแค่ไหน 

สังคมไทยอะลุ่มอล่วยมากๆ นะ ดิ้นง่าย หลุดง่าย กฎหมายมันมีบั๊กเยอะ แต่ก็ต้องมองอีกมุมว่าทำไมคนถึงทำผิดเยอะ เพราะสภาพแวดล้อมหรือเปล่า เช่น ทำไมมอเตอร์ไซค์ชอบไปขับบนฟุตบาท มันก็ผิดแหละ แต่มันมีทางให้เขาขับหรือเปล่า รถมันติดไปไหม คือสังคมมันบีบให้บางคนต้องทำผิดเพราะโครงสร้างมันไม่ดีแต่แรกหรือเปล่า 
 
ถ้าในประเทศที่สมบูรณ์แบบแล้วมึงยังผิดอีก อันนี้น่าด่า แต่ในไทยมันแบบ เอ้ย กูก็เคยทำว่ะ อย่างง่ายๆ ทำไมเราไม่แยกขยะ เพราะมันยาก มันไม่มีถังขยะให้แยก หรือไม่ได้มีการสอน คนไทยทุกคนต้องเคยทำผิดอะไรสักอย่าง มันก็เลยอะลุ่มอล่วยๆ ถ้าถามว่าสังคมไทยใจดีไหม คิดว่าใจดี

ถ้าเป็นในทวิตเตอร์ เราว่าคนด่ากันง่ายเพราะมัน anonymous ด้วย 

แต่อีกมุมหนึ่งเราว่าที่คนไทยด่ากันหูดับตับไหม้เพราะมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่เจริญเว้ย อันนี้คิดเอาเองนะ เหมือนสมองคนมันนำไปแล้วเพราะมีโซเชียลมีเดีย เห็นโลกที่เจริญมาแล้ว แต่คุณภาพประเทศยังไม่ไปตาม มันเลยยังมีคนทำผิดเยอะ ซึ่งตอนนี้มันอาจจะด่าเกิน พีซีเกินในบางเรื่อง แต่ในอนาคตเรื่องเหล่านี้จะค่อยๆ ปกติ

แล้วในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์เราทำงานยากขึ้นไหม พอคนพีซีขึ้นเรื่อยๆ 

คิดว่าทำง่ายขึ้น เพราะว่ามันเป็นช่วงตั้งไข่ เราพูดอะไรก็กลายเป็นเราเจ๋ง ล่าสุดเพิ่งกลับไปดูธีสิสตัวเองเกี่ยวกับเพศสภาพ ห้าปีที่แล้วเรารู้สึกว่าแม่งใหม่มาก จนถึงตอนนี้เมสเสจมันยังไม่เก่าเลย คือถ้าเราเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่มีมนุษยธรรม เข้าใจความพีซีที่มันถูกต้อง จะพูดอะไรมันก็ถูก ในขณะที่ถ้าสังคมมันศิวิไลซ์แล้ว สิ่งที่พูดมันอาจจะไม่ได้ว้าวหรือดีเด่อะไรเลย มันก็เป็นเรื่องปกติ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/68T7NGNctL8i0iyHdsofTu/022ef5e8427d8ca93dd7f7aabd0c5a96/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo01

ทำ ‘บ้านกูเอง’ มาห้าปี เรายังตื่นมาแล้วดีใจที่ได้ทำงานไหม แล้วเคยเบิร์นเอาท์หรือเปล่า 

ช่วงปีที่สามปีที่สี่เบิร์นเอาท์หนักมาก มันเป็นช่วงทำงานวนลูปเจ็ดวัน แล้วก็อยากเลิก แต่ว่าโลภ คือช่วงที่งานเยอะเราก็อึดอัด แต่ช่วงที่งานน้อยก็เครียด สุดท้ายก็มานั่งวิเคราะห์ตัวเองว่ามึงอยากได้เงิน ก็ฟาร์มเงินไป แล้วตั้งแต่เริ่มวางแผนชีวิตก็เลิกเบิร์นเอาท์เลย แล้วก็เลิกอยากตายด้วย เพราะเรารู้ว่าที่ทำอยู่มันมีเป้าหมายแล้ว ไม่ได้ตะบี้ตะบันทำงานแล้วเอาเงินไปทำอะไรก็ไม่รู้ ถามว่าตื่นมาแล้วแฮปปี้ที่จะทำงานไหม ไม่ใช่ แต่เราแฮปปี้ที่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจนวันตายอะ กูรอดละ 

ตั้งแต่วันแรกที่ทำเพจ ‘บ้านกูเอง’ จนถึงวันที่เพจกลายเป็นบริษัท มันมีอะไรที่เราต้องแลกหรือเสียไปไหม 

คิดว่าเพราะ ‘บ้านกูเอง’ ทำให้หลังจากนี้เราจะทำอะไรก็ได้ละ จะทำตามแพสชัน ลงทุนเปิดร้าน บูสต์โพสต์ ทำเพลง จัดงานอะไรก็แล้วแต่ มันใช้เงินทั้งนั้น ต้องบอกว่าอาชีพอินฟลูเอนเซอร์เป็นอาชีพที่เงินเฟ้อมาก ไม่ได้บอกว่าดาราผิดที่ได้เงินเยอะนะ แต่ประเทศไทยให้คุณค่าอาชีพอื่นๆ น้อยไปหรือเปล่า ยิ่งพวกกองถ่ายคือสุดๆ ละ คนที่โดนเชิดชูคือรวยฉิบหาย คนที่เหลือคือคุณภาพชีวิตเละ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ สุดท้ายแล้วเงินนิดเดียว แถมวางบิลอีก

แล้วจะทำอะไร สมมติว่าตอนนี้ถึงเวลาใช้เงิน 

คิดไว้ว่า 1. ปั้นกล้าม (เห้ย!) (หัวเราะ) พอสามสิบจะเลิกทำทุกอย่างแล้วยกดัมเบล เอาให้มีซิกซ์แพ็ก (แล้วทำไมไม่ทำตอนนี้เลย) ขี้เกียจ ถ้าตอนนั้นคงไม่มีข้ออ้างแล้ว 2. เล่นเปียโน เล่นกีตาร์ 3. ฝึกภาษา แล้วก็คงสนองนี้ดอะ ทำอะไรก็ได้ ทำงานอาร์ตที่รู้สึกว่ามันเท่ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1dUqgxpBu3MXZvkpkteLLO/1f35e922fd514f95f123e56be587f770/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05_copy_3

แล้วเคยอยากทำอาชีพอื่นเพื่อปั๊มเงินไหม 

ถ้าเลือกได้อยากเป็นเจ้าของอสังหาฯ เพราะว่าไม่ต้องทำอะไรเลย (คือจริงๆ ไม่ได้อยากทำอะไรเลยเหรอ) คิดว่าที่จริง…ใครอยากทำงานวะ (หัวเราะ) โอเค มันมีความชอบที่อยากทำ แล้วมึงอยากจะรอดด้วย มึงเลยเอาสิ่งนั้นมาเป็นงาน แต่ถ้ามึงมีเงินเท่าไรก็ได้ มึงอยากทำงานเหรอ หรือบางคนอาจจะมีความสุขกับการยื่นของไปแล้วได้เงินมา แล้วถ้าเกิดมันไม่นับว่าเป็นงานอะ ถ้ามันเป็นแค่ฟังก์ชันอะไรสักอย่าง มึงก็มีความสุขแล้ว สุดท้ายเขาไม่ได้อยากทำงานหรอก เขาแค่อยากทำในสิ่งที่ชอบแล้วรอด แค่นั้นเอง 

มีอะไรที่อยากลองแล้วยังไม่เคยลองไหม 

อืม (คิดนาน) อยากลองเห็นโลกหลังความตาย (หัวเราะ) เบียวปะ คือทางโลกเรารู้แล้วว่าแผนหนึ่ง สอง สาม สี่เป็นไง ถ้าเรากลัวป่วยก็ซื้อประกัน กลัวเงินเฟ้อก็ซื้อกองทุน กลัวเบาหวานก็เลิกกินน้ำตาล คือมันมีวิธีวางแผนให้มึงรอดได้ แต่ที่ควบคุมไม่ได้เลยคือตายแล้วไปไงต่อ จะวางแผนได้ก็ต่อเมื่อมึงตายแล้วเท่านั้น เลยอยากรู้ว่าตรงนั้นเป็นไง มันน่าจะวางแผนได้แล้วน่าจะสนุก 

อยากรู้ว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จสำหรับนอทคืออะไร 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอบไม่ได้นะ เพิ่งมาตอบได้เร็วๆ นี้ คิดว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จคือชีวิตที่มีแผนไปจนวันตาย ไม่ได้บอกว่านิยามของคนอื่นผิดนะ บางคนอาจจะคิดว่ามีชื่อเสียง มีความสุข ประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับเราถ้าตอบแบบนั้นมันคงไม่จบ ถ้ามึงดังแล้วมึงดับอะ หรือถ้ามีความสุขแล้วสักวันมันมีเรื่องทุกข์อะ แต่ถ้ามึงรอด มึงก็ไม่ไปเดือดร้อนใคร ไม่เป็นภาระต่อพ่อแม่พี่น้อง มันจบ 

ตอนนี้เราเข้าใกล้จุดนั้นหรือยัง 

ถ้าตายสัก 70 อะถึงแล้ว เพราะวางแผนการเงินไว้หมดแล้ว คิดว่าเรื่องวางแผนการเงินนี่จำเป็นต่อมนุษย์มากเลยนะ แล้วประเทศเราไม่ได้สอนอะ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้เห็นค่าหรือเปล่า 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4FFwUPRVWAtaWX1ZPk9R6G/fce1fe3cc60f5a517b2f479940644391/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05_copy_4

นอทว่าข้อดีหรือจุดแข็งของนอทคืออะไร 

เวลาฟังคนอื่นพูดเราจะชอบคิดว่า เห้ย ทำไมมึงตัดสินว่าสิ่งนั้นไม่ดีวะ คือเรนจ์ (range) ในการตัดสินของเรามันกว้างมากจนแทบจะไม่มีคำว่าผิดเลย อะไรก็สามารถไม่ผิดได้ถ้ามันไม่ไปเบียดเบียนมนุษยธรรม คิดว่านี่คือจุดแข็งที่เราไม่จำกัดสมองตัวเองว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ทำแบบนี้ไม่ดี 
 
มันคือเรื่องเดียวกันกับก็อปไม่ก็อปอะ สุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรผิดนี่ เหมือนมันต้องมีคีย์อะไรสักอย่างมาตั้งไว้ ถ้าไม่หลุดไปจากคีย์นี้ถือว่าโอเค หรือถ้าเอากฎหมายมาวัด กฎหมายมันเมกเซนส์ไหม ซึ่งคีย์ของเราคือกดทับสิทธิมนุษยชนใครหรือเปล่า ถ้าไม่กดทับคือทุกอย่างถูก 

ถ้าเลือกบ้านตัวเองได้จริงๆ อยากอยู่ที่ไหน 

อยากอยู่อาร์เจนตินา คือเป็นคนที่มีปัญหากับการจดจำข้อมูลเยอะๆ แล้วก็มีปัญหากับการขับรถในประเทศไทยมาก ถนนมันมั่วมาก เราต้องดูแผนที่ตลอดเวลา แต่อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ผังเมืองดีที่สุดในโลก เป็นบล็อกสี่เหลี่ยมๆ มันไม่มีทางที่รถจะติด และไม่มีทางที่มึงจะหลง แล้วมันมีพื้นที่สาธารณะทุกที่ เรื่องพวกนี้คือความเครียดขั้นพื้นฐานของคนไทยอะ เข้าใจได้ว่าประเทศไทยมันอาจจะต้องเป็นแบบนี้เพราะตัดถนนตามแม่น้ำ คนสมัยก่อนก็คงนึกไม่ถึง แต่แบบว่า กูไม่น่าเกิดมาตรงนี้เลย (หัวเราะ) นั่นแหละ บ้านในฝันขออยู่ที่อาร์เจนตินา 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2Usi1h6WPc5k4pfQaERls4/aacee4de74247d7c11dd440129170e4e/lost-in-doubt-interview-north-sanhanut-SPACEBAR-Photo05_copy_5
“กับข้าวมาแล้วครับ กับข้าว… กับข้าวมาแล้วครับ กับข้าว…” เสียงโทรโข่งดังมาจากรถกระบะที่แล่นผ่านซอย ประกาศชัดว่าที่นี่ยังไม่ใช่บ้านในฝันของนอท แต่ไม่ว่า ‘บ้านกูเอง’ จะไปตั้งอยู่ตรงมุมไหนของโลก นอทก็ได้ประสบความสำเร็จไปแล้วเรียบร้อย ตามนิยามของตัวเอง…

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์