Lost In Doubt: คุยกับอดีตบก. ‘ย้วย-นภษร’ กับวัยเปลี่ยนผ่านที่ทำให้รู้ว่าการเขียนไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต

22 มี.ค. 2566 - 04:33

  • ตีแผ่วัยเปลี่ยนผ่านของ ย้วย-นภษร ศรีวิลาศ อดีตนักเขียน/บก.มือดีประจำ The Cloud / SALMON. / Capital ในวันที่การเขียนไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตอีกต่อไป

  • ความรักทำให้ย้วยกล้าออกจากคอมฟอร์ตโซนที่อยู่มาเกือบ 10 ปี แล้วทำฝันให้เป็นจริงโดยมีสามีเคียงข้าง

  • ฝันที่ว่าคือการเปิดร้านขายนิตยสารซึ่งเธอหลงใหลมาตั้งแต่เด็ก แม้ตอนนี้นิตยสารจะพากันล้มหายและถูกแทนที่ด้วยคอนเทนต์ออนไลน์ ย้วยยังเชื่อมาตลอดว่า “กระดาษมันจะมีที่ของมัน”

lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Thumbnail
เราเป็นคนหนึ่งที่รู้จักชื่อ ‘ย้วย-นภษร ศรีวิลาศ’ จากการเลื่อนหาชื่อนักเขียนหลังอ่านบทความจบ ด้วยความทึ่งว่าใครกันที่เขียนเรื่องธุรกิจให้คนอ่านติดหนึบหนับไปพร้อมๆ กับขายของให้ลูกค้าได้แนบเนียนขนาดนี้ หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสรู้จักพี่ย้วยตัวจริงและได้พูดคุยกันบ้างตามประสาคนทำงานแวดวงเดียวกัน 
 
ตลอดระยะเวลาที่ติดตามผลงานมา เราได้เห็นชื่อพี่ย้วยโยกย้ายจากสื่อหนึ่งไปยังอีกสื่อหนึ่ง จากงานเขียนไปเป็นพอดแคสต์ แล้วเธอก็ได้พิสูจน์ชัดว่าเธอถนัดทำธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก เข้าถึงง่าย และทำได้ดีมาเสมอ พอได้ข่าวว่าพี่ย้วยจะโบกมือลาวงการคอนเทนต์ ความรู้สึกแรกของเราเลยเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเสียดาย และเชื่อว่าหลายคนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน 
 
แต่เสียดายได้ไม่นานเราก็นึกสงสัยว่าอะไรทำให้นักเขียน/บก.ที่เก่งและมีคนชื่นชมมากมายอยากออกไปทำอย่างอื่น ทันทีที่รู้ว่าเหตุผลคือ ‘ความรัก’ เราก็เปลี่ยนจากเสียดายเป็นยินดี และรอวันที่จะได้คุยกับพี่ย้วยถึงช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ แล้ววันนั้นก็มาถึง…
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7ozSVaUz6LKR8fNalrXc9v/b81e2b66a9632b773a5c9dc6aa14b4dc/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo01
ย้วย 01: นักคอนเทนต์
“ยุคนี้มันไม่ได้มีแพลตฟอร์มอ่านอย่างเดียว คนอ่านน้อยลงตั้งเยอะ แล้วการที่เราจะแย่งเวลาของทุกคนให้มาสนใจเรื่องที่เราเขียน มันยาก แล้วก็ท้อตามระเบียบ” พี่ย้วยพูดเป็นประโยคแรกๆ เมื่อเราเริ่มคุยเรื่องวงการนักเขียนที่เธอเพิ่งพาตัวเองออกมา

อะไรคือเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ออกจากงานประจำ 

อิ่มตัวด้วยหนึ่ง สองคือพอโตขึ้นเราก็เริ่มคิดว่าเราอยากเขียนไปถึงเมื่อไร จริงๆ คำถามนี้มันเกิดขึ้นมาตลอด แต่ทุกครั้งสิ่งที่ทำให้เราทำต่อคือเรายังอยากเก่งขึ้น อยากได้รับการยอมรับจากเจ้านาย จากเพื่อน แล้วมันก็ยังสนุกมาก แต่วันหนึ่งแม้ว่าแหล่งข่าวจะเปลี่ยนทุกวันแต่สิ่งที่ทำมันเริ่มเหมือนเดิม มันจะเหนื่อยแล้วหมดสายป่านไปเอง
 
คือมันคลีเชนะ แต่มันก็เบิร์นเอาท์จริงๆ อะ ยิ่งช่วงโควิดที่ปิดประเทศ เราไม่ได้ไปไหนเลยอะ ปกติงานของเรามันได้เดินทางเยอะมาก อย่างน้อยต่างจังหวัดก็ยังดี แต่พอไม่ได้ไปไหนมันเหมือนรีดเลือดออกจากปูเลยกว่าเราจะเขียนได้
 
แล้วเรารับผิดชอบส่วนที่เป็นธุรกิจ ช่วงโควิดทุกคนดูยากหมดเลยอะ เราไม่สามารถไปขอสัมภาษณ์ว่า “พี่คะ ปรับตัวยังไง” มันเสียมารยาท หรือแม้แต่คนที่ขายดีเขาก็ไม่อยากออกมาโชว์พาวเหมือนสมัยก่อน จริงๆ ถ้าทำต่อมันก็ท้าทายนะ แต่พอสิ่งเราถนัดคือการเล่าเรื่องให้เขาขาย แล้วเรื่องที่เราทำมันช่วยเขาไม่ได้มันก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง ก็เลยออกดีกว่า ช่วงนั้น Salmon Books กำลังหา บก.ต้นฉบับ ทำหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเชิงธุรกิจอะไรแบบนี้ แต่ทำได้แปปเดียวเราก็มาขึ้น Capital 

คือย้อนกลับมาทำคอนเทนต์ออนไลน์อีกที 

ใช่ อันนั้นก็จุดเปลี่ยนอีกว่าเพิ่งหนีจากออนไลน์มาทำออนไลน์ใหม่ ซึ่งทำไมเราต้องเหนื่อยขนาดนี้ แต่ตอนนั้นมันมาเกินครึ่งทางแล้วอะ พอเราทำที่ก่อนได้ดี คนก็อยากได้แบบนั้น ทุกคนที่มาหาเราอยากได้ The Cloud 2 เพราะทุกคนมีเงินแต่ไม่มีทีมคิดให้ แต่ทุกอย่างมันต้องประกอบกันอะ อย่าง The Cloud ถ้ามีเงินก็จะโตกว่านี้ คนมีเงินถ้ามีทีมคิดก็จะโตกว่านี้
 
กลับมาที่ Capital เขาอยากได้เว็บที่ดีเหมือนกัน ทีนี้พอเราถนัดเรื่องธุรกิจเราก็เลยปั้นหัวข้อธุรกิจ มันมีช่องว่างที่จะเล่าเรื่องนี้อยู่ พอนายทุนเขาชอบก็เลยลงเงินให้ เลยเกิดมาเป็น Capital ช่วงนั้นโชคดีมีพี่เบล (จิรเดช โอภาสพันธ์วงศ์) เขาเก่งมาก มีทีมที่ดี แล้วน้องๆ ที่ชวนกันมาทำก็เป็นเด็กเจนใหม่หมดเลย ความดีงามคือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นกลุ่มคนที่อยากให้เรื่องธุรกิจมันใกล้ตัว แค่นี้เลย แม้ว่าเราออกแล้วทุกคนก็ยังทำได้ดี เพราะว่าทุกคนอินกับมัน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5WCS90mbwsUtgzVAoYeSNc/0da77c31873f2e4d939f48b55f3ce0a8/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo02

มันก็ดูเป็นจุดตรงกลางเหมือนกันนะ คือมีทั้งเงินและทีมคิดที่ดี ทำไมคราวนี้ถึงยังอยากออกอีก 

ตอนนั้นคิดเยอะมากว่าจะยอมมาทำ Capital ทำไม มันขาดอันนี้จริงหรือเปล่า สิ่งที่ทำให้เราลุกขึ้นมาทำคือเรื่องธุรกิจมันใกล้ตัวเรามาก มันควรเป็นไลฟ์สไตล์ ชอบกีฬาก็เป็นเรื่องธุรกิจ ชอบศิลปะมันก็เป็นเรื่องธุรกิจ จริงๆ เราไม่ควรทำให้มันยาก แล้วมันยังไม่มีสื่อไหนที่เล่าตรงกลางนี้เลยอะ มันเป็นพื้นที่ว่างๆ ที่น่าทำจริงๆ 
 
แล้วทำไม Capital มันตอบโจทย์เราแล้วเรายังอยากออก ก็เพราะจริงๆ ปลายทางเราไม่ได้อยากเป็นสื่อไปตลอด มันต้องสนใจอะไรเยอะมาก แล้วจุดหนึ่งในชีวิตมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแล้วอะ เราอยากเล่าเรื่องตัวเองบ้าง 
 
จุดพีคอันหนึ่งคือเราเคยสัมภาษณ์น้อง 7 ขวบ เป็นดีไซเนอร์วาดรูปแอ็บสแตร็กต์แล้วพ่อแม่ก็ตัดชุดให้ สามปีต่อมาแม่เขาโทรมาอีกว่าจะได้ไปนิวยอร์กแฟชั่นวีค อยากให้พี่ย้วยมาสัมภาษณ์หน่อย ตอนนั้นเราบอกว่า Capital เล็กมากเลยนะ ให้เราติดต่อสื่อใหญ่ๆ ให้ไหม เขาบอก ไม่ๆๆ เพราะว่าน้องโด่งดังจากบทความของพี่ย้วย ก็เลยอยากให้พี่ย้วยสัมภาษณ์อีก ลง Capital ก็ได้ไม่มีปัญหา พอได้คุยกันอีกก็รู้สึกว่า น้องเขาทำได้แล้วเราทำอะไรอยู่วะ เรายังอยู่ที่เดิมเลยอะ ทำไมเราไม่ทำสิ่งที่ชอบให้มันเต็มที่ เราอยากทำเสื้อผ้า อยากทำร้านนิตยสาร แต่ไม่ได้ทำเพราะเราเล่าเรื่องอยู่ 
 
ตอนนั้นมันหลายๆ เรื่องรวมกัน แม้กระทั่งการมีความรัก เมื่อก่อนเราคิดแต่เรื่องงานอย่างเดียวเลย แต่พอมีแฟนคนนี้เรารู้สึกอยากเติบโตไปกับเขา ไม่อยากเป็นภาระเขา เราอยากรวยเพื่อให้เขาทำกาแฟอย่างสบายใจไปเลย แต่ถ้าเราเป็นนักเขียนเราจะไม่รวยอะ ถามว่าความชอบในการเขียนยังมีอยู่ไหม มันก็ยังมีอยู่ แต่จุดหนึ่งการตื่นมาเขียนทุกครั้งมันทรมานเหลือเกิน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6Qi4OzFkgsYulruuaPDPwE/ad77566dc0686ddf32a16aa0b8bf8f81/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo03

ตั้งแต่วันแรกที่อยู่ในสายงานคอนเทนต์จนถึงวันนี้กี่ปีแล้ว 

เราเริ่ม 25 ตอนนี้ 32 ก็ 7-8 ปี (โห เกือบ 10 ปี) แต่เริ่มตอนอายุ 25 ก็แก่มากในวงการเหมือนกันนะ เพราะเด็กๆ เรียนจบมาแล้วเขียนเลยอะ คือเราเรียนเศรษฐศาสตร์มา มันคือเรื่องสังคมนี่แหละ แต่อธิบายด้วยตัวเลข ค่าสมการ สถิติ หรือหลักการที่พิสูจน์ได้ แต่ตอนนั้นเราเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ไม่อยากนั่งโต๊ะอีกต่อไป อยากออกไปคุยกับคน ก็เลยสมัครงานแล้วเรียนรู้ใหม่หมด ต้องยอมแลกอะ

แล้วตอนนั้นเรา struggle ไหม 

เรา struggle ของเราเอง ต้องบอกว่าตอนเริ่ม a day BULLETIN ไม่มีใครสอนเราเพราะเราอายุ 25 แล้ว เขาก็เข้าใจว่าเราทำงานได้เลย แต่ความจริงคือเราเขียนไม่ได้ พอเข้าไปมันเหมือนเรากระโดดลงน้ำเหมือนกัน ซึ่งเราต้องแก้เกมภายในเดือนแรกๆ ของการทำงาน เราขนหนังสือเก่าๆ กลับบ้าน แล้วก็ทำเหมือนเด็กเศรษฐศาสตร์เลย เก็บค่าสถิติ ดูว่าคอลัมน์นี้เล่าอะไร สัมภาษณ์อะไรบ้าง เขาเขียนเปิด-ปิดยังไง คือหาแพทเทิร์นแล้วก็พยายามเรียนรู้

เท่านั้นยังไม่พอ เราไปรับจ็อบรีวิวหนังสือที่ร้านหนังสือก็องดิด แลกกับการได้อ่านหนังสือฟรีเดือนละ 60 เล่ม เพราะมันต้องเขียนวันละ 2 โพสต์ ตอนนั้นเปิดโลกเลย จากคนที่อ่านแค่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับหนังสือ SALMON. เราก็ได้อ่านทุกแนว วรรณกรรมไทย วรรณกรรมแปล เราไม่เคยอ่าน 'รงค์ วงษ์สวรรค์ มาก่อนจนกระทั่งต้องมารีวิวหนังสือ ซึ่งมันทำให้เรามีวันนี้เหมือนกัน พวกสำบัดสำนวนอะไรแบบนี้
 
ต้องบอกว่ามันใช้ความพยายามเยอะมากกว่าจะ shape เรามาเป็นวันนี้ แต่ว่าน้องๆ สมัยใหม่อาจจะไม่รู้ เขานึกว่า อ๋อ พี่เรียนจบมา พี่ก็เป็นนักเขียน แล้วก็กลายเป็นบก. คือมันไม่ง่ายเลย มันใช้พลังเยอะมาก เพียงแต่ว่าพอเราชอบเราก็อยู่กับมันได้นาน เราฝึกมันได้เร็วกว่าคนอื่น 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4RyeB1j51lChYQ8IyqDexb/71b60abdcd9500b38713210073998426/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo04

เมื่อก่อนที่พี่ย้วยสัมภาษณ์คนเยอะๆ จนคิดว่าตัวเองเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต ตอนนั้นรู้สึกว่าเราเสียตัวตนไหม 

ไม่ๆๆ (ตอบอย่างรวดเร็ว) เราไม่รู้ด้วยว่าตัวตนเราเป็นยังไง เราแค่สนุกกับมันไปหมดเลยอะ แล้วเหมือนเราต้องเอ็กซ์โทรเวิร์ตเป็นงาน เช่น รู้จักคนใหม่ในปาร์ตี้เราก็คิดละว่า โห ทำงานไรอะ เจ๋งจังเลย คุยกับเขายังไงดี เป็นคอนเทนต์ได้หรือเปล่า มันจะกลับไปที่งานตลอดเลยอะ  
 
แต่พอออกจากงานคอนเทนต์มันก็ไม่มีอย่างนั้นแล้ว หลังๆ ก็เสียดายเหมือนกันเวลาเจอคนเจ๋งๆ แล้วแบบ หืม ถ้ายังทำคอนเทนต์อยู่พี่ต้องได้ลงนะเนี่ย แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีใครตายจากสิ่งนี้ เมื่อก่อนนี่ไม่ได้เลย ฉันต้องได้คุยคนแรก แล้วคือมันไม่ได้มีคนเจ๋งๆ มาตลอดเวลาหรอก มันต้องขวนขวายเยอะมาก แต่ถามว่ามันไม่เป็นตัวเองไหม ก็ไม่นะ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่เรายอมรับได้ว่าต้องเป็นแบบนั้นเพราะมันต้องเป็นงาน แล้วมันก็สนุกเสียอีก ไม่ได้รู้สึกขัดกับตัวเองขนาดนั้น เพียงแต่เราไม่เคยอยู่กับตัวเองจนรู้สึกว่าจริงๆ เราสบายใจกับการเป็นอินโทรเวิร์ตเลย 

จากหน้ากระดาษ มาออนไลน์ มาพอดแคสต์ แต่ละมีเดียมมันเปลี่ยนอะไรในตัวพี่ย้วยไหม 

ก่อนหน้านี้ใครมาชวนทำพอดแคสต์เราไม่กล้าทำเลย แค่พูดๆๆ แล้วก็ได้คอนเทนต์ละ มันดิสรัปต์สิ่งที่เราตั้งใจเขียน เรานี่กว่าจะไปสัมภาษณ์คน กว่าจะถอดเทป แต่พอมาทำพอดแคสต์เองเราก็รู้สึกว่ามันก็ยากพอกันแหละ มันเจออะไรใหม่ๆ เหมือนกันนะ ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าเราชอบเล่าเรื่องเพราะ โห สิ่งที่เราเขียนมันวิเศษวิโสจังเลย มันไม่มีใครเขียนได้เท่าฉันหรอก วันหนึ่งพอมันเปลี่ยนไปเราก็จะยอมรับมากขึ้นว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเขียนเก่งที่สุดเลย มันเป็นกระบวนการในตัวเรามากกว่าที่ยอมรับและปล่อยวางได้มากขึ้น 

การออกจากงานประจำนี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดไหม 

เมื่อก่อนเคยคิดว่าใหญ่ที่สุด เคยคิดว่า The Cloud คือทุกอย่างในชีวิต เราว่าทุกคนเป็นหมดเวลาออกจากคอมฟอร์ตโซน แต่จุดหนึ่งพอเราเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมเราจะพบว่าสิ่งนั้นมันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น พอย้ายไป SALMON. เด็กๆ ไม่มีใครอ่านเลย เราก็แบบ เชี่ย เขาไม่รู้จัก เราทำอะไรอยู่ แล้วเราก็เอนจอยกับโลกนี้ ได้รู้ว่าวัยรุ่นตอนนี้เขาสนใจเรื่องมุมอื่น เรารู้สึกว่าพลังคนรุ่นใหม่มันน่าซัพพอร์ตมากกว่าจะไปชี้นำด้วยซ้ำ 

แล้วจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดคือตอนไหน 

มีความสัมพันธ์ น่าจะใช่นะ ก็เปลี่ยนไปทุกด้าน แต่มันก็ไม่ใช่จุดสุดท้ายในชีวิตเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไร มันทำให้เรารักเราวันนี้ก็โอเคแล้วล่ะ
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/oXFTO7AGXvuPTRNhuhhEY/b5553844febf21bf18bb718a236e9af7/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo05
ย้วย 02: นักรัก

พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ มันดูเป็นพาร์ทใหญ่ในชีวิตพี่ย้วยตอนนี้เหมือนกัน ใหญ่ ใหญ่มาก 

ถามได้ไหมว่าเจอกันได้ยังไง 

ตอนนั้นเขาทำงานอยู่ร้านกาแฟแถวสุขุมวิท ร้านเขาขาย specialty อย่างเดียว ไม่ค่อยมีใครเข้า อยู่ดีๆ เราก็เข้าไปนั่ง เพราะว่าอยากกินแสงชัยแต่ร้านยังไม่เปิด ก็นั่งทำงาน ไม่ได้สนใจเขาเลย แล้วเหมือนน้องที่ทำงานในนั้นก็บอกเขาว่า “เนี่ย น้องนอนนะ” เขาก็ “น้องนอนไหนวะ ไม่รู้จัก” พอดูไอจีถึงรู้ว่า อ๋อ เราเป็นนักเขียน แล้วก็ทักมาซื้อ Window Magazine ที่เราเคยช่วยเขียน แล้วเขาก็ฟอลโลวเรา เราก็ อ๋อ ร้านกาแฟ แล้วก็ฟอลโลวกลับ เวลาเห็นเขาลงหนังสือเราก็ DM กัน เหมือนเขารู้วิธีที่จะทำให้เราทักไป คุยไปคุยมาจนเริ่มรู้จักกันก็ อะ กินข้าว แล้วก็ไหลเรื่อยมา  
 
ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะชอบเราไหม เพราะเขาดูเป็นคนเงียบๆ แล้วเราเป็นนักเขียนเราก็ไปร้านกาแฟบ่อย เราจะจิ๊จ๊ะๆ คุยกับทุกคนได้ปกติ แต่กับคนนี้เราไม่กล้าจิ๊จ๊ะเลย เขาดุอะ ดูไม่อยากคุยกับใคร ไม่ใช่ไม่ชอบมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นคนจิ๊จ๊ะ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยคิดว่าจะไม่มีแฟนทำงานวงการกาแฟเด็ดขาด เพราะมนุษย์บาริสต้าทุกคนดูจิ๊จ๊ะอะ คุยกับคนนู้นคนนี้ เราคงหึงตาย แล้วอยู่ดีๆ ก็มาเจอกัน 

แล้วเราต้องปรับตัวอะไรบ้างไหม 

เขาไม่เคยขอให้เราเปลี่ยนอะไรเลย ไม่ได้คาดหวัง มันไม่เหมือนทุกความสัมพันธ์ที่เคยเจอเลยอะ ก่อนหน้านี้ผู้ชายจะชอบเข้ามาเพราะรู้ว่า อ๋อ ทำงาน The Cloud อยากเขียนอะ อ่านอันนี้ให้หน่อย เห้ย รู้จักคนนั้นเหรอ หรือคาดหวังว่าเราจะรู้จักร้านกาแฟฮิปๆ เพราะเป็นนักเขียน มันมีอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ไม่พูดมากไปก็ดูฉลาดมากไป แต่เราไม่ได้เป็นคนมองคนที่หน้าตาเลยนะ คืออยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า แล้วคนนี้คือสบายใจมาก สามารถอยู่นิ่งๆ โดยที่ไม่ต้องพูดกันก็ได้ ก็เหมือนทุกคู่ที่มันใช่ คือมันไม่ต้องพยายามเลยอะ 
 
เรามีคติอย่างเดียวคือไม่ชอบอะไรเราก็ไม่ทำแบบนั้นใส่เขา เราไม่ชอบให้โมโหไม่มีเหตุผล เราก็จะไม่โมโหไม่มีเหตุผล เขาก็เหมือนกัน ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยทะเลาะกันเรื่องใหญ่ ก็ถามอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมไม่ทะเลาะกันเลย แล้วเราก็คิดเหมือนกันว่ามันเหนื่อยที่จะทะเลาะกัน มีอะไรก็เคลียร์ ไม่พอใจอะไรก็บอก แต่เราจะมีคีย์เวิร์ดกันเอง เช่น ถ้าพูดว่า “โอเล่” คือเราแอบน้อยใจเล็กๆ แต่เราไม่อยากพูดคำว่าน้อยใจ มันดูไม่คูล แบบ พี่เฟิร์มเมื่อกี้พูดแรงไปน้า โอเล่เลยน้า (เอ้ย น่ารักอะ) คือถ้าพูดว่า “ทำไมเธอพูดแรงขนาดนี้” สำหรับเรามันก็แรงไป เราจะตลกๆ มากกว่า
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3JZFZdGdepJpRhY6HBg3GN/178fac50cdb3f2e5dee670aadfd93bbc/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo06

เราชอบอะไรในตัวเองบ้างพอมีเขา 

ทุกเรื่องเลยอะ (ยิ้ม) พูดแล้วดูเหมือนเวอร์นะ แต่เราชอบเราเวอร์ชันนี้มากๆ เราเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ยังสนุกกับการทำงานอยู่แต่ว่างานไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตแล้ว เป็นคนกินอาหารตรงเวลา จากที่เมื่อก่อนไม่กินไม่นอนถ้างานไม่เสร็จ หรือที่เคยเครียดกับทุกเรื่อง ตอนนี้คือไม่มี เรากลายเป็นคนที่ช่างมันได้เยอะขึ้น คือชีวิตมันสั้นมากเลยนะ เราอยากทำโมเมนต์แต่ละวันให้มันดีที่สุดจริงๆ แล้วพอคนนี้เขาชอบทุกอย่างที่เป็นเรามันก็ซัพพอร์ตกันดี เรามั่นใจในตัวเองมากขึ้น เมื่อก่อนเราดูเหมือนเป็นคนมั่นใจมากๆ นะ แต่ทุกครั้งที่เขียนเราจะเครียดมาก ตอนนี้พอแฟนเราบอกว่า “ดีแล้ว เก่งแล้ว” มันก็โอเค 

แล้วเรากลัวเสียเขาไปไหม 

ก่อนหน้านี้เรามีตราบาปกับตัวเองว่าคุยกับใครจะได้แค่เดือนเดียว แล้วคนนั้นจะหายไปจากชีวิต เราก็จะไม่ค่อยเคารพตัวเอง คิดว่าใครๆ ก็ไม่ชอบฉันเพราะว่าฉันสนใจแต่งาน แต่งานมันก็สนุกอะ ฉันไม่มีเวลาทำอย่างอื่น
 
พอมีตราบาปเราก็คิดว่าเดี๋ยวเขาก็หายไป ช่วงก่อนครบเดือนเราบอกเขาเสมอว่าถ้าจะหายไปให้บอกนะ ถ้าไม่บอกจะพาเพื่อนไปบุกร้านเลยนะ เขาก็บอกว่าไม่หายๆ แล้วทุกครั้งที่เป็นแบบนี้เราก็จะถามตัวเองว่าแล้วเขาจะหายเพราะอะไร เพราะเรานิสัยไม่ค่อยดีเหรอ เราก็ทำวันนี้ให้มันดีที่สุด ถ้าเราทะเลาะหรือพูดอะไรไม่ดี วันหนึ่งมันก็แก้อะไรไม่ได้แล้วนะ เราแค่ไม่อยากจบวันไปด้วยความเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง รักก็บอกรัก ชอบก็บอกชอบ แฮปปี้ก็บอกแฮปปี้ 
 
ถามว่ากลัวไหม ก็กลัว เรารักสุขภาพมากขึ้นเพราะกลัวว่าถ้าเราตาย เขาจะอยู่ยังไง หรือถ้าเขาตาย เราจะอยู่ยังไง ตั้งแต่รู้จักกับเขาเราสุรุ่ยสุร่ายกับการกินที่ดีเยอะมาก จากเมื่อก่อนคือกินอาหารแช่แข็งตลอด ตอนนี้เราหาเงินเหมือนเดิม แต่ซื้อเสื้อผ้าน้อยลง เอนจอยกับการกินมื้อที่ดี 

คิดว่าคนเราจะมีชีวิตที่ดีโดยไม่มีความรักได้ไหม 

ไม่ได้ ไม่ได้แปลว่ารักแบบหนุ่มสาวนะ อย่างน้อยมันต้องรักอะไรสักอย่างมันถึงจะเฮลตี้ แล้วพาเราไปทำอะไรบางอย่างอย่างไม่ย่อท้ออะ ก่อนหน้านี้เราไม่เคยดูแลตัวเองให้ดี เรารักเปลือกนอกที่หุ้มเรา เรารักชื่อเสียง มันก็เลยไม่แปลกที่เรารู้สึกว่าต้องวิ่งตามอะไรสักอย่าง เราไม่เคยรู้จักคำว่ารักตัวเองเลยจนกระทั่งก่อนเจอเขา พอเริ่มรักตัวเองแล้วอยู่ดีๆ เขาก็เข้ามาในชีวิต มันต้องมีความรักในทุกเรื่อง ไม่มีแล้วมันเหมือนขาดออกซิเจนอะ มันเหมือนจะอยู่ได้แต่มันเหี่ยวอะ อยู่ได้แต่เป็นพิษ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2plLgS0pleeDKyN9gZCEai/6d4271aaaad208cf511b0c4c3664ddc7/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo07

‘LOVEZINE เรื่องจริงหวังแต่ง’ ที่ทำกับ SALMON. มันเป็นมายังไง 

โปรเจกต์นี้มันเริ่มจากว่าเราอยากเขียนหนังสือกับแฟนในอนาคตสักคน ตั้งแต่ก่อนมีเขา เพราะฝรั่งมันมีโปรเจกต์ของคู่เพื่อนที่เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ เขาคุยกันว่ามาเดตกันไหม แล้วเขียนจดหมายส่งกัน เขาก็ทำเป็นเว็บ 50 เดตของเขา อ่านสนุกมาก เราก็รู้สึกว่า เฉียบ อยากทำบ้าง ทำกับใครดีวะ เคยลองสมัครทินเดอร์เพื่อทำสิ่งนี้ แต่พอทำครั้งแรกเว้ย เจอคนหนึ่งบอกว่า คุณย้วยปะครับ น้องนอนในห้องลองเสื้อปะ ก็เลยลบ ไม่เล่นละ กลัว (หัวเราะ) 
 
วันดีคืนดีเรากับพี่เฟิร์มก็ได้เป็นแฟนกัน แล้วก็กลายเป็นว่าเขาชอบเขียนเหมือนกัน ตอนแรกเราไม่รู้ จนคุยกันสักเดตสองเดตสามเขาถึงบอกว่าเคยเขียนหนังสือชื่อ ‘สมบัติผู้ดี’ เป็น self-publishing แล้วเราเคยอ่านหนังสือเขาตอนทำให้ก็องดิดด้วย พอมันชอบขีดเขียนเหมือนกันเราก็เลยชวนเขาว่า งั้นลองเขียนกันไหม เขาก็ไม่ปฏิเสธ แต่เขาเขียนฟีลพรรณนา เราพยายามปรับให้เขาไม่เวิ่นเว้อขนาดนั้นด้วยการอ่านหนังสือแนวอื่นบ้าง ซึ่งเขาเป็นคนที่ป้ายยาง่ายมาก ถ้าพาไปร้านหนังสือคือซื้อทุกอย่าง อันนี้คือตรงสเปคสุดๆ ทั้งคู่ไม่เคยห้ามกัน ล้มละลายไปกับการซื้อหนังสือ 
 
จริงๆ เล่มนี้ที่เขียนขึ้นมาเพราะเรารู้สึกว่าเรื่องความสัมพันธ์บนแผงหนังสือ ถ้ามันไม่หม่นๆ ก็จะเป็นแบบฟุ้งๆ ไปเลย มันไม่มีคนเล่าแบบนี้เท่าไร เราไม่รู้ว่ามันจะไปไกลแค่ไหนเหมือนกัน อันนี้ลุ้นทุกวันเลยว่าคนจะชอบไหม

ทำไมไม่เรียกว่าหนังสือแต่เรียกว่า ‘ซีน’ 

คอนเซ็ปต์มันคือสถานที่เดียวกันแต่เล่าเรื่องสองมุม อย่างเหตุการณ์วันแรกที่เราเจอกัน เรื่องราวของย้วยมันเป็นอย่างนี้ แล้วฝั่งของพี่เฟิร์มเป็นยังไง ต้องบอกว่าจริงๆ ทั้งสองคนอยากเขียนฟิกชันมาก แต่พวกเราอธิบายเป็นภาพไม่เก่ง เราเลยอยากลองเขียนสลับๆ กับฟิกชัน ก็เลยเล่าเรื่องความสัมพันธ์ผ่านสิ่งของ เช่น แก้วน้ำมันพูดถึงสองคนนี้กำลังคิดอะไรกันอยู่ หรือเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้นผ่านสายตาของวัตถุต่างๆ ทั้ง 20 ตอนไม่มีแพทเทิร์นในการเล่าเรื่อง เราเลยเรียกเป็นซีน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2hQvMi9SyI8MEnOdqugDHk/eea79a79d78970ea7ff8f66745d319f7/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo08
ตอนที่ทำก็กังวลนะ เรื่องมันส่วนตัวมากเลยอะ ใครจะมาอินกับเรา แต่ตอนนั้นเราเทสต์ด้วยการตั้งสเตตัสถึงเขาบ่อย แล้วก็มีคนไลก์ตลอด มีคนคอมเมนต์ว่าอยากอ่านรวมเล่มๆๆ เราก็เลยไปเสนอสำนักพิมพ์ว่าเอาไหม เขาก็ เอ้อ ลองดูว่าจะออกมาเป็นยังไง คือคนเคยอ่านเรื่องของเราผ่านสเตตัสแล้ว แต่ไม่เคยฟังเรื่องมุมเขา เขาเขียนหนังสือดีมาก อ่านแล้วสนุก เราอ่านเองแล้วรู้สึกว่า โห นี่ถ้าเขียนมาตั้งแต่หนุ่มๆ นี่ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ตายเขาต้องฟื้นแล้วนะ ก้อง ทรงกลดก็ไม่เกิด (แซวแบบถ้าพี่เฟิร์มนั่งอยู่ข้างๆ ต้องมีหลุดยิ้มบ้างแน่ๆ) 

ตอนที่ทำเราถามกันตลอดเลยว่าคุณค่าของการเล่าเรื่องนี้มันคืออะไร มันส่วนตัวมากแล้วเราสองคนก็ไม่ได้อยากให้ใครมารู้จักเราเท่าไร จนได้คำตอบว่าจริงๆ เราแค่อยากให้ทุกคนมีความสัมพันธ์ที่เฮลตี้ ไม่ว่าก่อนเราเจอกันมันจะเป็นยังไงก็ตาม แต่โมเมนต์ที่จีบกันวันแรก วันธรรมดาๆ ในร้านก๋วยเตี๋ยวสักร้าน เหตุการณ์เล็กๆ ของใครสักคน ถ้าได้พูดถึงมันก็คงดี อยากให้คนอ่านแล้วรีเลทได้ ซึ่งบก.ก็ช่วยได้มากในการเรียงให้มันเข้าถึงคนได้จริงๆ 

เขียนหนังสือกับแฟนนี่ยากไหม 

ยากมาก มากๆ ยากมากๆ (ย้ำหลายรอบ) เรามีหลายหมวก มีหมวกนักเขียนร่วม หมวกบก. แล้วก็หมวกแฟน เราไม่เคยทะเลาะกันเลย แต่ถ้าจะหงุดหงิดใส่กันก็คือตอนทำต้นฉบับนี่แหละ สมมติบก.เขาโน้ตมาว่าอันนี้ขอเติม อันนี้ไม่เก็ต อันนี้ไม่เห็นภาพ เขาก็จะถามเราตลอดเวลา เราก็จะแบบ ทำไมต้องถาม แต่พอมีสติก็จะพบว่าก็เขาไม่ได้ทำอาชีพนี้ แล้วเราก็ค่อยๆ ใจเย็น มันมือใหม่ทั้งคู่อะ 

ถ้าผ่านกระบวนการอีดิทไปได้ก็ไม่ยากเท่าไรแล้ว แค่บรีฟให้ตรงจุดเขาก็เขียนของเขาได้ จริงๆ พาร์ทที่เขาเขียนอะไม่ค่อยแก้ พาร์ทเราแก้เยอะกว่า เราจะเขียนแบบมาดนักเขียนอะ เราจะคิดว่ามันต้องแบบนี้แหละ ขณะที่เขาเล่าความรู้สึกเขาจริงๆ อะ มันอ่านแล้วแทบไม่ต้องแก้อะไรเลย 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/38zkv8ycWeVaCioTOzPqd0/ceb51f74d00812b427d8ad8e81216079/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo09
ย้วย 03: นักซื้อ-ขายนิตยสาร

แล้วความชอบนิตยสารมันมาตอนไหน 

ชอบตั้งแต่เด็กเลย คือเราเป็นคนชอบซื้อนิตยสารมาก อ่าน เล่มโปรด / Knock Knock / iLike ไม่รู้ทันไหม (เห้ย ทัน!) เมื่อก่อนมันมีนิตยสารไลฟ์สไตล์อ่านสนุกเยอะมาก วันหนึ่งเราก็อยากทำอะ แต่ไม่รู้จะเข้าไปยังไง จนทำงานออฟฟิศแล้วได้ดีลงานกับ a day เลยไปสมัคร แต่เราไม่ได้เป็นคนอ่าน a day นะ ที่รู้จักเพราะเคยชอบรุ่นพี่ ม.6 เห็นเขาอ่าน a day เราก็เลยอ่านบ้าง แล้วก็อ่านไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นก็แอนตี้ กลายเป็นว่าตอนหลังมาทำงานอยู่กับ a day แล้วก็พบว่าความจริงเขาก็คือคนธรรมดาเหมือนพวกเรานั่นแหละ เขาแค่มีสายตาที่มันสนุกไปกับทุกอย่าง พอเอาตัวเข้าไปอยู่ในทีม a day มันเลยเป็นไปโดยปริยาย คือทุกสิ่งมันพิเศษไปหมด ตอบคำถามหรือเปล่าไม่รู้ คือความชอบแมกกาซีนมันค่อยๆ ไหลมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็ก 

การทำอะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำนี่เป็นสิ่งที่อยู่ในตัวพี่ย้วยมานานแล้วหรือเปล่า 

อื้ม ใช่ แค่เขามาซัพพอร์ตเราว่าทำได้ เดี๋ยวช่วยทำ ไม่ได้ทำคนเดียว คือมันเริ่มจากมีคนชวนเราไปเปิดร้านหนังสือมือสองที่ THE COMMONS ได้เงินมาประมาณ 18,000 บาท ก็นั่งคิดกันสองคนว่าทำไรดีวะ ถ้าเราเอาไปกินอะไรที่ชอบแค่ 7 วันก็หมดละ น้องที่รู้จักกันก็เลยบอกว่า พี่ย้วยลองเปิดร้านไหมล่ะ ลองสั่งมาขายออนไลน์ก่อน
 
เล่มแรกคือ Science of the Secondary มาจากสิงคโปร์ เป็นเล่มที่เราชอบมากๆ เนื้อหาดีสุดๆ อุดมคติเลย พอติดต่อไปเขาก็ขอบคุณมาก เพราะเขาเคยขายในไทยแล้วมันขายไม่ได้ มันแพงเกินไป Science of the Secondary มันเล่าเรื่องธรรมดารอบตัว แต่เล่าแบบเนิร์ดสัสๆ ยกตัวอย่างเล่มแรกเป็นแอปเปิล เปิดเข้ามาก็จะเจอผิวแอปเปิลหลายๆ พันธุ์ มีอนาโตมีการจับแอปเปิล ปากกัดเนื้อแอปเปิลแต่ละพันธุ์มันเป็นยังไง แล้วก็ถ่ายรูปสวยๆ มันเป็นเล่มบางๆ เย็บแม็กธรรมดาเลย คือเล่าข้อความน้อยแต่กิมมิคในการเล่ามันสนุก  

นิตยสารอีกอันที่ชอบแต่ยังไม่ได้เอามาขายคือ MacGuffin เป็นของเนเธอร์แลนด์ คือคิดว่าญี่ปุ่นเนิร์ดแล้ว เราว่าเนเธอร์แลนด์เนิร์ดสุด MacGuffin เล่าหนึ่งเล่มหนึ่งสิ่งเหมือนกัน เช่น เล่มพรมก็จะมีคอลัมน์ที่เล่าวิธีล้างพรม คือมันแบ่งการเล่าเรื่องแบบคาดเดาไม่ได้เลยอะ สนุกมาก อ่านทั้งปีก็ยังไม่จบ บางทีศัพท์มันยากมากแต่ต้องซื้อเก็บอะ มันดีงาม กระดาษเบา หอม พิมพ์อย่างดี ปกติที่นั่นอาจจะขาย 300-400 แต่ค่าส่งกับภาษีรวมๆ กันแล้วเราจำเป็นต้องขายพันกว่าบาท แต่รู้สึกว่ามันมีค่ามากกว่าแมกกาซีนมากๆ ตอนทำร้านก็มีแต่คนถามว่าใครจะซื้อแมกกาซีนเล่มละ 1,500 แต่มันมีจริงๆ ซื้อเยอะด้วย แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากซื้ออะไรเราก็ขายแบบนั้น 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/290CQ6sxJ5fwuIjMJZB6XN/43ee431f9da99a5363e12d6a6df7454f/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo10_1

แล้วอยากทำแมกกาซีนของตัวเองด้วยไหม 

อยากทำมาก มันใช้แรงเยอะเหมือนกัน แต่เราคิดว่ามันรอดแน่ๆ คือเรารู้สึกว่าเด็กรุ่นใหม่ crazy สิ่งพิมพ์มาก ในขณะที่คนรุ่นเราที่เคยเห็นมันรุ่งเรืองแล้วล่มสลายไปก็จะรู้สึกว่าใครจะไปอ่านวะ มันก็คล้ายๆ กับผู้ใหญ่ที่คิดว่าใครจะฟังไวนิล แต่สำหรับเด็กๆ สิ่งนี้มันพิเศษมากเลยนะ
 
มันมีช่วงหนึ่งที่เราออกหนังสือ ‘น้องนอนในห้องลองเสื้อ’ แล้วพี่ผึ้ง (วิทมน นิวัติชัย) เจ้าของ Witti Studio เขาซื้อเล่มนี้ไปอ่าน แล้วลูกสาวเขาก็อ่านด้วย เขาเดินมาจับมือเราแล้วบอกว่า “ลูกสาวพี่ชอบหนังสือหนูมากเลย ขอบคุณมาก” คือเด็กๆ อ่านเล่มนี้แล้วตื่นเต้นว่าเราเล่าอะไรแบบนี้ในหนังสือก็ได้เหรอ นี่คือซีนเหรอ คือทุกคนตื่นเต้น มันดีอะ ฟีลแบบนี้ แต่มันไม่ใช่แค่อยากทำแล้วทำได้ มันต้องมีหลายๆ อย่าง 
 
ทุกวันนี้ทำงานให้สำนักพิมพ์ SALMON. ยังรู้สึกว่าอยากช่วยให้เขาขายดีๆ อะ เราไม่รู้สำนักพิมพ์อื่นเป็นไง แต่สำนักพิมพ์ SALMON. กว่าจะได้แต่ละเล่มมันคราฟต์ เขาตั้งใจมาก คือเราอยากให้หนังสือไทยมันยังอยู่ แล้วก็อยากให้คนทำงานหนังสือยังอยู่ ช่วงโควิดก็มีสำนักพิมพ์เกิดใหม่เยอะนะ สำนักพิมพ์เล็กๆ ที่นีชเรื่องบางเรื่อง พวกนี้ยังอยู่รอดได้ในขณะที่ตัวใหญ่ๆ ต่างหากที่ปิดตัวไปเพียงเพราะว่าเขาเลียนแบบตัวเล็กๆ 

ชื่อร้าน ‘Rock paper scissors’ มาได้ไง 

มันเริ่มจากเราอยากได้คำว่า paper แล้ว rock paper scissors หรือเกมเป่ายิงฉุบมันเป็นการละเล่นของเด็กที่สากลมากๆ แพ้ชนะมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ค้อนอาจจะชนะกรรไกร แต่อาจจะแพ้กระดาษ เหมือนหนังสือที่มันไม่มีถูก ไม่มีผิด เราไม่ชอบเล่มนี้แต่สำหรับคนอื่นมันอาจจะดีก็ได้
 
ตอนแรกเริ่มจากหนังสือมือสอง แล้วก็มาเป็นนิตยสาร ตอนนี้กลายเป็นมีโคมไฟ เพราะเราชอบไปร้าน selected แต่มันไม่ค่อยมีร้าน selected shop ที่เลือกของเกี่ยวกับการอ่านมาขายอะ เราเป็นคนเอนจอยกับการอ่านแล้วอยากได้ความรื่นรมย์ เช่น โคมไฟสวยๆ แก้วน้ำสวยๆ ชาดีๆ คอนเซ็ปต์ก็จะเป็น magazine things coffee จะได้เอายอดขายจากกาแฟมาจุนเจือ 

สงสัยเหมือนกันนะว่าพี่ย้วยอยู่มาตั้งแต่ยุคนิตยสารรุ่งเรืองมากๆ จนมันตายไป แล้วก็มาเติบโตด้านคอนเทนต์ออนไลน์แทน ซึ่งทำได้ดีด้วย แต่วันหนึ่งก็หันหลังกลับไปหาสิ่งพิมพ์ ทำไมเราถึงเชื่อในสิ่งพิมพ์ขนาดนั้น 

ต้องเล่าใหม่ว่าเราชอบนิตยสารตั้งแต่เด็ก เราอยากทำงานในกองนิตยสาร แล้ววันหนึ่งมันก็ปิด เราอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการที่มันไม่มีกระดาษอีกต่อไปแล้ว แล้วเป็นช่วงที่พี่ก้อง (ทรงกลด บางยี่ขัน) มาตั้ง The Cloud พอดี แล้วมันเป็นคอนเซ็ปต์ magazine on cloud มันยังมีความเป็นแมกกาซีนอยู่ก็เลยยกมือทำกับพี่ก้อง จริงๆ ถ้ามันเป็นสำนักข่าวเราก็ไม่ไปนะ แต่ที่นั่นทุกอย่างมันคิดแบบคราฟต์ มันมีน้ำเสียงของคนเล่าเรื่อง เราเลยรู้สึกว่ามันยังเอนจอย เราเชื่อการเล่าเรื่องแบบแมกกาซีน แล้วพอทำ The Cloud มันก็พิสูจน์แล้วว่าการทำแบบนี้มันยังมีคนยอมรับ มีคนชอบ มีคนอ่าน แม้ปลายทางมันจะไม่ใช่นิตยสารเล่มๆ

แต่ถึงจะคิดคราฟต์ๆ แบบแมกกาซีน ทำไปทำมาเราก็พบว่ามันเหนื่อยอยู่ดี มันไหลไปไม่มีหยุดเลยอะ แมกกาซีนมันยังมีปิดเล่ม แต่ออนไลน์มันเหมือนรายวันอะ จริงอยู่บทความมันออกไปแล้ววันนี้ แต่ขณะเดียวกันมันต้องหา ต้องเขียน ต้องถอดเทป คือไม่มีชีวิตเลยอะ  
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5wmqbqUru7NZwc74CqpXrN/cb2cfc58e4a074085eb10052cd749221/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo10_2
อันนี้เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่ง คือเราทำงานเล่าเรื่องชีวิตดีของคนอื่น แต่ชีวิตของคนทำแม่งแย่มาก กินข้าวหน้าคอมฯ นอนตี 3 บาลานซ์ชีวิตพัง แล้วเราหันไปดูเพื่อนคนอื่นในกอง ทุกคนได้ใช้ชีวิต ได้ไปเดต ทุกคนในกองมีแฟนกันหมดเลย มีแค่เราที่ไม่มีแฟน เราจัดการชีวิตไม่ได้แล้วเราก็โทษนู่นโทษนี่ ตอนนั้นเราก็คิดว่าเราเป็นซึมเศร้าเปล่าวะ แต่ก็ยังเขียนได้อยู่นะ ก็ไม่น่าเป็น แต่คิดว่าถ้าเครียดกว่านี้มันจะเป็นแล้วนะ เราไม่อยากหาเงินมารักษาตัวเอง หลายๆ เรื่องพอมาคิดรวมกันเราเลยออก 
 
ถ้าตอบคำถามเมื่อกี้ เราไม่รู้ว่ามันจะกลับมาโตไหม แต่ทุกวันนี้เราเชื่ออยู่เต็มอกว่ากระดาษมันจะมีที่ของมัน ต่อให้เราไม่ได้อยู่ในวงการนี้แล้ว เราก็ยังเปิดร้านแมกกาซีนเล็กๆ เลือกเข้ามาขาย มันคือเสน่ห์ที่มัน timeless อะ เมืองนอกทุกวันนี้นิตยสารอินดี้มันเฟื่องฟูมากนะ ปีหนึ่งออกสองเล่ม แต่คนทั้งโลกรอคอยเพราะคอนเซ็ปต์มันดีมาก เล่าเรื่องที่หาจากพ็อกเก็ตบุ๊กไม่ได้ ออนไลน์ก็ไม่มีให้อ่าน เราไปเจอหนังสือเหล่านี้แล้วก็รู้สึกว่าอยากเอามาขาย เพราะจริงๆ เราซื้อมาอ่านอยู่แล้ว 
 
ตอนแรกก็ทำเล่นๆ ไปๆ มาๆ เริ่มจริงจัง เพราะมันมีคนซื้อหนังสือเราเรื่อยๆ (ขายจนจะเปิดหน้าร้านนี่ก็ไม่ธรรมดานะ) เออใช่ เรางงมากว่าคิดการใหญ่จนถึงตอนนี้ได้ยังไง แล้วลูกค้าที่ซื้อเขาก็ซื้อซ้ำด้วยนะ เล่มหนึ่งไม่ได้ถูก แต่มันถูกกว่ากดเองแน่นอน ก็แค่ไปรวบรวมคนที่ชอบเหมือนกัน หรือบอกให้ทุกคนรู้ว่ามันดียังไงอะ ทุกวันนี้สนุกกับการตื่นมาตอบอีเมลแมกกาซีน วันๆ รอแต่ DHL มันแฮปปี้กว่าการต้องมานั่งปิดต้นฉบับมากๆ เลย 
 
ฟังมาถึงตรงนี้ เราเห็นภาพร้านนิตยสารสีหวาน กับพี่ย้วยที่ตื่นมาเชียร์นิตยสารแต่ละเล่มเหมือนเชียร์ลูกในงานโรงเรียน มีคนรักชงกาแฟอยู่ข้างๆ มีบรรยากาศอบอุ่น และมีความรักอบอวลทั่วร้าน มันทำให้เห็นเลยว่าความสัมพันธ์ที่ดีเปลี่ยนชีวิตของใครสักคนได้มากขนาดไหน 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/1BijwkBm1RJV33vw950X5D/7dee079a4b71cd5e423d6148d8b09b67/lost-in-doubt-interview-yuay-naphasorn-sriwilas-SPACEBAR-Photo11

อยากบอกอะไรกับตัวเองตอนที่ยังไม่เชื่อในความรัก หรือคนอื่นที่ตอนนี้ยังไม่เชื่อบ้าง 

มันมีอยู่จริงนะ ใครสักคนที่…เป็นอีกจิตวิญญาณหนึ่ง ไม่ใช่แค่แก่เราด้วยนะ เราก็เป็นแก่เขา เราไม่คิดว่าเราจะได้แต่งงานเลยอะ เพราะเราไปดูดวงที่ไหนทุกคนก็จะบอกว่าดวงนี้ไม่ถูกผัวซ้อมก็ได้พ่อม่าย แล้วยิ่งเราชอบทำงาน อยู่กับคนยากมาก เราเลยเชื่อตามคำหมอว่าไม่มีทางเจอ เรารู้สึกว่าดูแลตัวเองยังไม่เก่งเลย จะดูแลอีกคนได้ไงวะ แต่วันนี้เราก็ดูแลเขาได้ดีเหมือนกันนะ ใส่ใจกับใครบางคนได้จริงๆ คิดถึงใครบางคนได้จริงๆ มันจะมีโมเมนต์นั้นเกิดขึ้นถ้าเราไม่หมดศรัทธาไปซะก่อน
 
ดังนั้นจงเชื่อว่ามันมี ทำตัวเองให้พร้อม ในแง่ที่ว่าทำอะไรที่อยากทำให้เต็มที่ เพราะวันที่เจอคนนั้นเราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งนี้แล้ว มันมีหลายคนเหมือนกันที่ดันเจอใครสักคนในวันที่ต้องไปเรียน ต้องไปทำอย่างอื่น หรือมีงานที่อยากได้มากเข้ามาพอดี 
 
มันดูคลีเชเนอะ แต่ถ้าถามว่าจะบอกอะไรกับตัวเองในอดีตก็จะบอกว่าเก่งมากที่ยังอดทน มันมีโมเมนต์หนึ่งเหมือนกันที่รู้สึกว่า หรือเราคว้าๆ ใครสักคนมาก็ได้วะ แต่ว่าถ้ามันไม่ดีกว่าอยู่คนเดียวก็อย่าไปเอาให้เสียเวลาเลย ชีวิตมันมีค่ามากกว่านั้น แล้วมันจะคุ้มมากๆ กับการเจอใครสักคน
 

ขอขอบคุณสถานที่ ร้าน PRIDI 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์