หลายคนอาจไม่รู้ว่า นอกจากสยามสแควร์แล้ว กรุงเทพฯ มีย่านที่เรียกว่า "มุสลิมสแควร์" ด้วย
ย่านแห่งนี้อยู่ที่ใด ไม่ใช่เรื่องลับ หลายคนเคยสัญจรผ่าน และเคยเดินเล่นในพื้นที่ แต่อาจไม่รู้ว่าเป็นมุสลิมสแควร์
ก่อนเฉลยพิกัด ขอเล่าย้อนเรื่องเก่าในเชิงประวัติศาสตร์ เรียกน้ำย่อยกันสักหน่อย
ในอดีตย้อน ถ้านับเฉพาะพื้นที่เขตคลองสาน พบชาวมุสลิมเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานถึง 3 ครั้ง ด้วยเหตุผลทั้งภัยสงครามและการค้าขาย ดังนี้
ย่านแห่งนี้อยู่ที่ใด ไม่ใช่เรื่องลับ หลายคนเคยสัญจรผ่าน และเคยเดินเล่นในพื้นที่ แต่อาจไม่รู้ว่าเป็นมุสลิมสแควร์
ก่อนเฉลยพิกัด ขอเล่าย้อนเรื่องเก่าในเชิงประวัติศาสตร์ เรียกน้ำย่อยกันสักหน่อย
ในอดีตย้อน ถ้านับเฉพาะพื้นที่เขตคลองสาน พบชาวมุสลิมเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานถึง 3 ครั้ง ด้วยเหตุผลทั้งภัยสงครามและการค้าขาย ดังนี้
- ช่วงรัชกาลที่ 1 จากสงครามสยาม-ปัตตานี พ.ศ.2329 มีมุสลิมมาลายูและปัตตานี ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
- ช่วงรัชกาลที่ 3 ในคราวกบฏไทรบุรี พ.ศ.2382 ที่มีเทครัวมาจากหัวเมืองทางใต้ ตั้งแต่มาลายู ปัตตานี ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ย้ายเข้ามาและมาอยู่ทางฝั่งธนบุรีช่วงคลองสาน
- ช่วงรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งใน พ.ศ.2398 ประเทศไทยเปิดประเทศทำการค้ากับต่างชาติ บรรดาพ่อค้ามุสลิมจากอินเดีย อาหรับ ชวา ปัชตุน (อัฟกัน) เบงกาลี รวมถึงชาวจีนเดินทางเข้ามาทำการค้ากันอย่างคึกคัก
หนึ่งในกลุ่มพ่อที่เข้ามาทำการค้าขายในประเทศไทยในช่วงเวลานั้น คือ มุสลิมเชื้อสายอินเดียจากเมืองคุชราต ทมิฬ และเมืองสุรัตน์ มุสลิมกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการค้าของอินเดียในประเทศไทย ย่านที่ถูกเรียกว่า ‘ย่านตึกแขก’ ครอบคลุมพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในฝั่งพระนคร คือบริเวณสำเพ็ง ทรงวาด เยาวราช พาหุรัด เป็นที่ตั้งของกิจการโดยพ่อค้ามุสลิมอินเดียใต้และทมิฬ
ส่วนฝั่งธนบุรี ที่คลองสาน คือมุสลิมจากคุชราต ที่นำเครื่องประดับ เพชร เครื่องหอม เครื่องเทศ ดิ้นเงินดิ้นทองเข้ามา
ความเติบโตและบทบาททางการค้าในเวลานั้น ว่ากันว่าพ่อค้ามุสลิมต่างเดินทางข้ามไปมาระหว่างฝั่งกรุงเทพฯ-ธนบุรี คือจากถนนราชวงศ์มาคลองสาน เป็นภาพที่เห็นจนชินตา จนเป็นที่มาของการเรียกขานพื้นที่นั้นว่า ‘มุสลิมสแควร์’
ส่วนฝั่งธนบุรี ที่คลองสาน คือมุสลิมจากคุชราต ที่นำเครื่องประดับ เพชร เครื่องหอม เครื่องเทศ ดิ้นเงินดิ้นทองเข้ามา
ความเติบโตและบทบาททางการค้าในเวลานั้น ว่ากันว่าพ่อค้ามุสลิมต่างเดินทางข้ามไปมาระหว่างฝั่งกรุงเทพฯ-ธนบุรี คือจากถนนราชวงศ์มาคลองสาน เป็นภาพที่เห็นจนชินตา จนเป็นที่มาของการเรียกขานพื้นที่นั้นว่า ‘มุสลิมสแควร์’
จุดที่เป็นพื้นที่สำคัญที่เคยถูกขนานนามว่ามุสลิมสแควร์ ตั้งแต่บริเวณมัสยิดตึกแดง-กูวาติล (นิกายสุหนี่) ถึงมัสยิดตึกขาว-เซฟี (นิกายดาวูดีโบห์รา) เรื่อยไปจนถึงโกดังเซ่งกี่ไปจบที่ท่าดินแดง เป็นพื้นที่การค้าเก่าของกรุงรัตนโกสินทร์ ยืนยันด้วยการเรียงตัวของโรงเกลือ โกดังข้าว โกดังสมุนไพร โรงฟอกหนัง ฯลฯ ที่อยู่ในละแวกนั้น
พ่อค้ามุสลิมนิกายดาวูดีโบห์ราที่สำคัญและเป็นที่รู้จัก เช่น
ห้างมัสกาตี: ห้างนี้อยู่บริเวณสำเพ็ง ทำธุรกิจค้าผ้า ผ้าพิมพ์ลาย จากเมืองอะห์มดาบาด เมืองหลวงของรัฐคุชราต ชื่อเต็มคือ ห้างเอ.ที.อี. มัสกาตี (A.T.E. Maskati) ก่อตั้งโดยพ่อค้าชาวอินเดียชื่อ อับดุลตาเยบ มัสกาตี
ห้างมัสกาตี: ห้างนี้อยู่บริเวณสำเพ็ง ทำธุรกิจค้าผ้า ผ้าพิมพ์ลาย จากเมืองอะห์มดาบาด เมืองหลวงของรัฐคุชราต ชื่อเต็มคือ ห้างเอ.ที.อี. มัสกาตี (A.T.E. Maskati) ก่อตั้งโดยพ่อค้าชาวอินเดียชื่อ อับดุลตาเยบ มัสกาตี
ผ้ามัสกาตีขายดีทั่วเอเชียและประเทศไทย เป็นที่รู้จักและมีบทบาทมากในราชสำนักไทย เป็นผ้าที่ใช้สำหรับชนชั้นสูง ขุนนาง ข้าราชการ ไปจึนถึงเครื่องแบบทหารราชองครักษ์ การค้าของพ่อค้าอินเดียใต้โด่งดังในเรื่องผ้า ต่อมาที่ปอกระเจา ครั่ง ไม้ซุง เครื่องเขียน หนังสือ อุปกรณ์ไฟฟ้า ปัจจุบัน กิจการของมัสกาตียังคงดำรงอยู่ในชื่อของ เอ.ที.อี.เอ็มเอส รุ่นที่ 5 ของมัสกาตี
ห้างไนติงเกล โอลิมปิค: ก่อตั้งโดยคุณนัติ นิยมวานิช ห้างแห่งนี้ได้รับการขนามนามว่าห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่น อเมริกา เยอรมนี และอื่นๆ โดยมีสโลแกนของห้างว่า 'คลังแห่งเครื่องกีฬา ราชาแห่งเครื่องดนตรี ราชินีแห่งเครื่องสำอาง' เป็นห้างแห่งแรกที่ใช้โทรทัศน์เป็นสื่อโฆษณา
ห้างไนติงเกล โอลิมปิค: ก่อตั้งโดยคุณนัติ นิยมวานิช ห้างแห่งนี้ได้รับการขนามนามว่าห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศไทย ที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่น อเมริกา เยอรมนี และอื่นๆ โดยมีสโลแกนของห้างว่า 'คลังแห่งเครื่องกีฬา ราชาแห่งเครื่องดนตรี ราชินีแห่งเครื่องสำอาง' เป็นห้างแห่งแรกที่ใช้โทรทัศน์เป็นสื่อโฆษณา
ความเกี่ยวของกับมุสลิมอินเดียใต้ คือบันทึกที่บอกว่า คุณนัติ นิยมวานิช เดิมชื่อ แนท ฮูเซ็น รายา บาลี คุณนัติสืบเชื้อสายจากดาวูดีโบห์รา ก่อนจะเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาในภายหลัง
นอกจากความเป็นพ่อค้า มุสลิมดาวูดีโบห์รายังเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดิน เป็นอัยการ ทั้งนี้ หลายคนยังมีความรักชาติ และมีบทบาทต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของอินเดีย เมื่อพบว่าในอดีตคราวที่รพินทรนาถ ฐากุร ปราชญ์ชาวอินเดียมาสยามเพื่อพบกับพ่อค้ากลุ่มดาวูดีโบห์รา ช่วงก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ
นอกจากความเป็นพ่อค้า มุสลิมดาวูดีโบห์รายังเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ตรวจเงินแผ่นดิน เป็นอัยการ ทั้งนี้ หลายคนยังมีความรักชาติ และมีบทบาทต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของอินเดีย เมื่อพบว่าในอดีตคราวที่รพินทรนาถ ฐากุร ปราชญ์ชาวอินเดียมาสยามเพื่อพบกับพ่อค้ากลุ่มดาวูดีโบห์รา ช่วงก่อนที่อินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ
หากวันนี้ใครจะไปเยือนดินแดนมุสลิมสแควร์ ทำได้ด้วยการเริ่มต้นเดินชม ‘ตึกแขกเก่า’ ที่ท่าน้ำราชวงศ์ แล้วข้ามฟากมาคลองสานเดินไล่ไปตั้งแต่มัสยิดตึกแดง มัสยิดกูวติลอิสลาม ชมความงามของตึกแดงโดยตระกูลนานา และวงศ์อารยะ แล้วลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยผ่านโกดังเกลือเก่า ไปถึงมัสยิดตึกขาว หรือมัสยิดเซฟี มัสยิดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวดาวูดีโบห์รา ตึกสีขาวตามแบบสถาปัตยกรรมกอธิค ผสมความเป็นไทย และรูปแบบของศาสนสถานตามแบบอินเดีย และโกดังเซ่งกี่ ที่ยังคงมีกลิ่นอายของสมุนไพร เครื่องยาจีนหลงเหลืออยู่
เสน่ห์ของมุสลิมสแควร์อาจจะจางไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่พ่อค้ามุสลิมอินเดียใต้ฝากไว้ยังคงอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากหายไปเลย
เสน่ห์ของมุสลิมสแควร์อาจจะจางไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่พ่อค้ามุสลิมอินเดียใต้ฝากไว้ยังคงอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากหายไปเลย