ได้เวลาไขข้อสงสัยกันแล้ว ว่าจริงๆ แล้ว ‘หมูกระทะ’ ที่พวกเรากินกันอยู่ในทุกวันนี้มีอิทธิพลมาจากอะไร และเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากที่ฉากการกินหมูกระทะจากละครเรื่อง ‘พรหมลิขิต’ ได้ถูกถ่ายทอดสู่สาธารณชน ประเด็นถกเถียงจึงบังเกิดขึ้น ชาวเน็ตประเทศนั้น ประเทศโน้น ประเทศนี้ ประเทศนู้น ก็พากันเคลมว่าหมูกระทะหรือการกินปิ้งย่างในประเทศไทยนั้นเป็นของเขา จนทำเอาชาวเน็ตไทยถึงกับกุมหัว
ต้องบอกก่อนว่า เรื่องเล่าเกี่ยวกับหมูกระทะนั้น แบ่งออกเป็น 3 ตำนาน มีที่มาจาก ‘มองโกเลีย’ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘เกาหลี’ ส่วนประเทศอื่นๆ นั้นอาจจะมีเศษเสี้ยวนิดๆ หน่อยๆ ที่บ่งบอกว่ามาจากประเทศนั้นๆ เป็นเพราะวัฒนธรรมที่ผสมผสานที่คนไทยหยิบนั่น หยิบนี่ จากประเทศนู้นนิดนึงประเทศนี้นิดหน่อยมาประยุกต์และพัฒนาต่อไป
ในส่วนของตำนานแรกมาจากสมัยมองโกล กับรูปร่างของตัวกระทะในปัจจุบัน ที่มีการพัฒนามาจากหมวกเหล็ก หรือ Mongol Ancient Military Hat ของทหารรบชาวมองโกเลียในสมัยนั้น สืบเนื่องไปว่าเนื่องจากในอดีตหลังจากที่อยู่ในช่วงพักรบ อุปกรณ์ในการทำอาหารของเหล่าทหารมีจำกัด ดังนั้นหมวกเหล็กของชาวมองโกลจึงกลายเป็นอุปกรณ์บรรเทาอาการหิวโหยได้อย่างดี และถูกดัดแปลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น เตาหมูกระทะในทุกวันนี้
ในส่วนของอีกหนึ่งตำนานมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบันทึกไว้ในปี 1918 ที่ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ทางรัฐบาลประเทศญี่ปุ่นได้มีการรณรงค์ให้เอาเนื้อแกะมาย่างกิน เพราะในสมัยนั้น ชาวญี่ปุ่นนิยมเลี้ยงแกะเพื่อนำขนแกะมาทำเครื่องนุ่งห่มมากๆ จนทำให้เนื้อแกะล้นตลาด และมีกาปรับเปลี่ยนเรื่อยมาจนกลายเป็น ยากินิกุ ในปัจจุบันที่แหละ
และอีกตำนานเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่ประเทศเกาหลีใต้ ก็ได้มีวัฒนธรรมการกินแบบปิ้งย่างเช่นกัน ภายใต้ชื่อเรียกว่า คาลบี้ นั่นเอง
ส่วนหมูกระทะในประเทศไทยนั้น เป็นการหยิบเอาวัฒนธรรมต่างๆ ในหลายๆ ประเทศมาผสมผสานจนกลายเป็นหมูกระทะแสนอร่อย ซึ่งได้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก ในช่วงปี 1957 หรือ พุทธศักราช 2500 ก็ประมาณ 66 ปีที่แล้ว เสิร์ฟในภัตตาคาร และมีชื่อเรียกว่า ‘เนื้อย่างเจงกิสข่าน’ และในปีต่อมาในภาคอีสานบ้านเราก็เกิดร้านเนื้อย่างเกาหลีขึ้น และพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นหมูกระทะ และบุฟเฟ่ต์ที่เราได้กินกันอย่างทุกวันนี้