เป็นวลีที่ได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กจนโต สำหรับคำที่ว่า “อย่ากินช็อกโกแลตเยอะ เดี๋ยวสิวขึ้น” ใครที่รักสวย รักงาม กลัวใบหน้ามีสิวก็จะหลีกเลี่ยงการกินช็อกโกแลต เพราะเชื่อในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอก แต่ว่านะ พอโตขึ้นมาอีกพาร์ทหนึ่งของชีวิต หลายคนกลับมีความสงสัยว่า สิ่งที่ผู้ใหญ่เตือนเรื่องการกินช็อกโกแลตแล้วสิวขึ้นนั้น มันเป็นเรื่องจริง จริงๆ เหรอ?
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากหาคำตอบถึงคำถามที่ติดค้างในใจ จึงไปเจอเปเปอร์ฉบับหนึ่งซึ่งจัดทำโดย สำนักงานโภชนาการ กรมอนามัย ที่ระบุถึงอัตราการเกิดสิวในกลุ่มตัวอย่างที่ได้ทำการทดลอง 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเรื่องการกินช็อกโกแลตแล้วทำให้เป็นสิวจริงหรือไม่
ในเปเปอร์ของสำนักงานโภชนการได้ระบุว่า มีงานวิจัยในปี 2014 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการกินช็อกโกแลตต่อการเกิดสิว โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 จะให้กิน Dark Chocolate ที่เป็น Pure Chocolate แบบ 100% วันละ 100 กรัมเป็นเวลา 30 วัน
กลุ่มที่ 2 จะให้กิน White Chocolate วันละ 100 กรัม เป็นเวลา 30 วัน
กลุ่มที่ 3 จะไม่ให้กินช็อกโกแลตเลย เป็นเวลา 30 วัน
จากผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่กิน Dark Chocolate มีจำนวนสิวที่เกิดขึ้นพอๆ กับกลุ่มที่ไม่ได้กินเลย แต่กลุ่มที่กิน White Chocolate มีจำนวนสิวเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางสำนักงานโภชนการ ได้สรุปออกมาว่า การกิน Dark Chocolate ที่เป็น Pure Chocolate แบบ 100% ไม่ได้ก่อให้เกิดสิว แต่การกิน White Chocolate หรือ Milk Chocolate ที่โดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของโกโก้เพียง 20% ในขณะที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมถึง 55 % นั่น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิว
ที่เป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า ใน White Chocolate หรือ Milk Chocolate มีส่วนผสมของน้ำตาลและนมมากกว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมากจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เป็นผลให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อเกิดภาวะอินซูลินในเลือดสูง (Hyperinsulinemia) จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสาร “ไอจีเอฟ-1” (IGF-1, insulin-like growth factor-1) เพิ่มขึ้น
ซึ่งสารไอจีเอฟ-1 นี้เอง ที่ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้นและหนาตัวขึ้น ทำให้รูขุมขนแคบลงเกิดการอุดตันได้ง่าย จึงก่อให้เกิดสิวได้ง่ายนั่นเอง นอกจากนั้นการดื่มนมหรือกินอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน เนื่องจากนมก็สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสาร ไอจีเอฟ-1 ด้วย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากหาคำตอบถึงคำถามที่ติดค้างในใจ จึงไปเจอเปเปอร์ฉบับหนึ่งซึ่งจัดทำโดย สำนักงานโภชนาการ กรมอนามัย ที่ระบุถึงอัตราการเกิดสิวในกลุ่มตัวอย่างที่ได้ทำการทดลอง 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเรื่องการกินช็อกโกแลตแล้วทำให้เป็นสิวจริงหรือไม่
ในเปเปอร์ของสำนักงานโภชนการได้ระบุว่า มีงานวิจัยในปี 2014 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการกินช็อกโกแลตต่อการเกิดสิว โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 จะให้กิน Dark Chocolate ที่เป็น Pure Chocolate แบบ 100% วันละ 100 กรัมเป็นเวลา 30 วัน
กลุ่มที่ 2 จะให้กิน White Chocolate วันละ 100 กรัม เป็นเวลา 30 วัน
กลุ่มที่ 3 จะไม่ให้กินช็อกโกแลตเลย เป็นเวลา 30 วัน
จากผลการทดลองพบว่า กลุ่มที่กิน Dark Chocolate มีจำนวนสิวที่เกิดขึ้นพอๆ กับกลุ่มที่ไม่ได้กินเลย แต่กลุ่มที่กิน White Chocolate มีจำนวนสิวเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางสำนักงานโภชนการ ได้สรุปออกมาว่า การกิน Dark Chocolate ที่เป็น Pure Chocolate แบบ 100% ไม่ได้ก่อให้เกิดสิว แต่การกิน White Chocolate หรือ Milk Chocolate ที่โดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของโกโก้เพียง 20% ในขณะที่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสมถึง 55 % นั่น เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดสิว
ที่เป็นเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า ใน White Chocolate หรือ Milk Chocolate มีส่วนผสมของน้ำตาลและนมมากกว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณมากจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เป็นผลให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นด้วย เมื่อเกิดภาวะอินซูลินในเลือดสูง (Hyperinsulinemia) จะกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสาร “ไอจีเอฟ-1” (IGF-1, insulin-like growth factor-1) เพิ่มขึ้น
ซึ่งสารไอจีเอฟ-1 นี้เอง ที่ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วขึ้นและหนาตัวขึ้น ทำให้รูขุมขนแคบลงเกิดการอุดตันได้ง่าย จึงก่อให้เกิดสิวได้ง่ายนั่นเอง นอกจากนั้นการดื่มนมหรือกินอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน เนื่องจากนมก็สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสาร ไอจีเอฟ-1 ด้วย