Kick off ไปแล้ว กับนโยบาย ‘30 บาทพลัส’ นำร่องพร้อมกัน 4 จังหวัด ‘ร้อยเอ็ด แพร่ เพชรบุรี นราธิวาส’ พลิกโฉม ‘30 บาทรักษาทุกโรค’ สู่นโยบาย ‘30 บาท รักษาทุกที่’ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสุขภาพได้สะดวก รวดเร็ว ทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน คลินิก แล็บ และร้านยาใกล้บ้าน ซึ่ง ‘30 บาทพลัส’ ขยายสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นมากมาย ภายใต้เป้าหมายให้ครอบคลุมประชาชนมากที่สุด เริ่มตั้งแต่
- การนัดคิวแพทย์ ที่สามารถ นัดคิวออนไลน์ เลือกเวลาพบแพทย์ล่วงหน้าได้ผ่านแอพหรือ LINE ของ ‘หมอพร้อม’ ไม่ต้องเสียเวลารอตรวจที่โรงพยาบาลทั้งวันอีกต่อไป
- รักษาได้ทุกโรงพยาบาลรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนในเครือ ซึ่งข้อมูลสุขภาพจะถูกเก็บอยู่ในระบบ Cloud ผ่านระบบ HealthID สามารถส่งตัวรักษาต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว หรือใช้บัตรประชาชนใบเดียว Walk-in เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ได้เช่นกัน
- เมื่อตรวจรักษาเสร็จแล้ว สามารถกลับบ้านได้ทันที โดยมีใบสั่งยาดิจิทัล (e-prescription) ที่ให้รับยา ณ ร้านขายยาใกล้บ้าน หรือรับทางไปรษณีย์ ได้
- ตรวจเลือดใกล้บ้านที่แล็บหรือคลินิกเครือข่ายใกล้บ้าน ช่วยให้เดินทางสะดวกมากขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาลรักษาสามารถออกใบสั่งแล็บดิจิทัล (e-Lab order) โดยข้อมูลจะเชื่อมโยงกับหน่วยบริการสุขภาพอื่น
- ตรวจรักษากับแพทย์ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือ Telemedicine ผ่านแอป ‘หมอพร้อม’ สำหรับผู้ป่วยที่มีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว
อีกหนึ่งสิทธิประโยชน์ที่หลายคนให้ความสนใจของ ‘30 บาทพลัส’ คือ การรักษามะเร็งครบวงจร ที่เริ่มตั้งแต่การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกในกลุ่มเด็ก การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม ซึ่งหากตรวจพบ ผู้ป่วยจะถูกส่งต่อเข้าสู่การรักษาที่มีข้อมูลเชื่อมต่อกัน ทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากแต่เดิมที่ ‘ผู้ป่วยโรคมะเร็ง’ ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ ‘บัตรทอง 30 บาท’ สามารถรักษามะเร็งได้ทุกที่อยู่แล้ว แต่ ‘30 บาทพลัส’ ขยายการดูแลโรคมะเร็งให้ครบวงจรมากกว่าเดิม เริ่มตั้งแต่ การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้กับผู้หญิงตั้งแต่อายุ 11-20 ปี
แล้วสิทธิประกันสังคมได้รับการรักษาเท่าเทียมกันหรือไม่?
แน่นอนว่า ต้องเกิดคำถามกับผู้ที่ส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมในทุกๆ เดือน ตั้งแต่การรักษาพยาบาล ที่ต้องใช้กับโรงพยาบาลที่ผู้ประกันตนเลือกสิทธิไว้เท่านั้น เว้นแต่กรณีฉุกเฉิน ขณะที่การรักษาโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง สำหรับ ‘30 บาทพลัส’ ก็ยังได้ขยายครอบคลุมแบบครบวงจร แต่ ‘สิทธิประกันสังคม’ กลับครอบคลุมโรคมะเร็งเพียง 20 ชนิดเท่านั้น ได้แก่
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งรังไข่
- มะเร็งมดลูก
- มะเร็งโพรงหลังจมูก
- มะเร็งปอด
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ใหญ่ตรง
- มะเร็งหลอดอาหาร
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบลิมฟอยด์ในผู้ใหญ่
- มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในผู้ใหญ่
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันชนิดมัยอีลอยด์ในผู้ใหญ่
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันในผู้ใหญ่แบบ Acute Promyelocytic leukemia (APL)
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดมัยอีลอยด์ในผู้ใหญ่
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวมัยอีโลมาในผู้ใหญ่
- มะเร็งกระดูกชนิด Osteosarcoma ในผู้ใหญ่
- โรคมะเร็งเด็ก
แม้ ‘หมอเลี๊ยบ’ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ จะยอมรับว่า ‘สิทธิ 30 บาท’ ในบางด้าน อาจจะมีสิทธิ์ที่ดีกว่าคนในระบบประกันสังคม แต่ก็ย้ำว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ปัญหาในเรื่องนี้เป้าหมายสุดท้าย คือ ทั้ง 3 สิทธิ ได้แก่ บัตรทอง 30 บาท ประกันสังคม และข้าราชการ ต้องได้คุณภาพมาตรฐานในการรักษาพยาบาลเหมือนกัน
จ่ายเงินสมทบทุกเดือน แต่ทำไมได้สิทธิน้อยกว่า?
คำถามนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่หากมองแง่บวกในมิติที่กว้างขึ้น ต้องอย่าลืมว่า ‘กองทุนประกันสังคม’ ไม่ได้มีแค่ ‘กรณีเจ็บป่วย’ ของผู้ประกันตนเท่านั้น แต่ยังมีกรณีเหล่านี้อีกมากมาย ได้แก่
- กรณีคลอดบุตร จะได้รับเงินค่าคลอดบุตร ทั้งผู้ประกันตนหญิงและชาย รวมถึงได้รับเงินสงเคราะห์หยุดงานเพื่อคลอดบุตร 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย
- กรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้
- กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินสงเคราะห์และค่าทำศพ
- กรณีชราภาพ จะได้รับเงินบำนาญชราภาพรายเดือน หรือเงินบำเหน็จชราภาพ ที่ไว้ใช้จ่ายในชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณ
- กรณีสงเคราะห์บุตร จะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรต่อเดือน
- กรณีว่างงาน ทั้งการถูกเลิกจ้าง การลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง และการว่างานจากเหตุสุดวิสัย จะได้รับเงินทดแทนในช่วงว่างงานตามที่กำหนด
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกันตนยังสามารถนำเงินสมทบที่เราจ่ายทุกเดือนมาคำนวณเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีอีกด้วย
ดังนั้น หากจะสรุปว่า สิทธิ ‘30 บาทพลัส’ ได้มากกว่า ‘ประกันสังคม’ อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมดนัก เพราะยังมีอีกหลายสิทธิที่ ‘30 บาทพลัส’ ไม่ได้รับ แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า เป็นผู้จ่ายเงินทุกเดือนแล้วก็ย่อมต้องการสิทธิการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียมและเป็นธรรมเช่นเดียวกับสิทธิการรักษาขั้นพื้นฐานของคนไทย
หลังจากนี้คงต้องเกาะติดกันอย่างใกล้ชิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่? ที่รัฐบาลจะปรับมาตรการ เพื่อให้ทั้ง 3 กองทุนได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกันเสียที