ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ให้รับคดี ชัยณัฐร์กรณ์ ชายานันท์ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน สมคบค้ายาเสพติด เป็นคดีนอกราชอาณาจักร เพื่อให้อัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทำสำนวนคดีแทน พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา เจ้าของท้องที่บุกจับผับจินหลิง ย่านยานนาวา
ชูวิทย์ กล่าวว่า ตู้ห่าวโดนดำเนินคดียาเสพติด 3 ข้อหา คือสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ไม่ถูกตำรวจตั้งข้อหาฟอกเงิน ที่จะสามารถยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินได้
“เหตุที่ตนมาร้องให้ อสส. รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เนื่องจากคดีนี้มีการนำยาเสพติดเข้ามาจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน จึงต้องถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ อัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหมายให้ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เข้าร่วมควบคุมคดีให้สำนวนมีความรัดกุมมากขึ้น ไม่ใช่ให้ตำรวจ สน.ยานนาวา หรือตำราจนครบาล รวมทั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบทำสำนวน ไม่งั้นอาจเหมือนคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง” ชูวิทย์กล่าว
ตนยืนยันว่าจะยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่ขอยื่นกับทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดที่มารอรับหนังสือ หากไม่ได้พบอัยการสูงสุดจะไม่ยอมกลับ
ทั้งนี้เมื่อให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเสร็จแล้ว ชูวิทย์ได้ไปนั่งรอที่โซฟาหน้าห้องประชาสัมพันธ์ สำนักงานอัยการสูงสุด สักพักใหญ่แล้วจึงอ่านหนังสือร้องเรียนให้ผู้สื่อข่าวฟัง พร้อมบอกว่า เข้าใจว่าอัยกรสูงสุดมีภาระกิจเยอะ แต่ตนเองขอเวลาอัยการสูงสุดเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น จากนั้นชูวิทย์ย้ายไปนั่งรออยู่ที่หน้าลิฟท์ชั้น 2 เพื่อดักรอพบอัยการสูงสุดไม่นาน เมื่อเห็นลิฟท์เปิดชูวิทย์จึงรีบเข้าลิฟท์ขึ้นไปพบอัยการสูงสุดที่ห้องทำงานชั้น 9 แต่ถูกทีมโฆษกอัยการสูงสุดเชิญมาพูดคุยที่ห้องทำงานชั้น 2 โดยใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ ต่อมา อิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด มาเป็นตัวแทนอัยการสูงสุดรับมอบหนังสือจากชูวิทย์
อิทธิพร กล่าวว่า จะนำหนังสือเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา โดยยืนยันว่าอัยการสูงสุดจะดำเนินการอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้สำนวนยังมาไม่ถึงจึงไม่เห็นรายละเอียด ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ แต่ตามขั้นตอนถ้าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร พนักงานสอบสวน จะต้องทำทำรายงานแจ้งเป็นหนังสือให้อัยการสูงสุดพิจารณาทราบแล้วอัยการสูงสุดอาจจะพิจารณามอบหมายให้ พนักงานสอบสวนทำคดีต่อหรือส่งอัยการไปร่วมสอบสวนด้วยก็ได้
ชูวิทย์ กล่าวว่า ตู้ห่าวโดนดำเนินคดียาเสพติด 3 ข้อหา คือสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ไม่ถูกตำรวจตั้งข้อหาฟอกเงิน ที่จะสามารถยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินได้
“เหตุที่ตนมาร้องให้ อสส. รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร เนื่องจากคดีนี้มีการนำยาเสพติดเข้ามาจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน จึงต้องถือว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ อัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหมายให้ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เข้าร่วมควบคุมคดีให้สำนวนมีความรัดกุมมากขึ้น ไม่ใช่ให้ตำรวจ สน.ยานนาวา หรือตำราจนครบาล รวมทั้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบทำสำนวน ไม่งั้นอาจเหมือนคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ภายหลังศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง” ชูวิทย์กล่าว
ตนยืนยันว่าจะยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่ขอยื่นกับทีมโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดที่มารอรับหนังสือ หากไม่ได้พบอัยการสูงสุดจะไม่ยอมกลับ
ทั้งนี้เมื่อให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเสร็จแล้ว ชูวิทย์ได้ไปนั่งรอที่โซฟาหน้าห้องประชาสัมพันธ์ สำนักงานอัยการสูงสุด สักพักใหญ่แล้วจึงอ่านหนังสือร้องเรียนให้ผู้สื่อข่าวฟัง พร้อมบอกว่า เข้าใจว่าอัยกรสูงสุดมีภาระกิจเยอะ แต่ตนเองขอเวลาอัยการสูงสุดเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น จากนั้นชูวิทย์ย้ายไปนั่งรออยู่ที่หน้าลิฟท์ชั้น 2 เพื่อดักรอพบอัยการสูงสุดไม่นาน เมื่อเห็นลิฟท์เปิดชูวิทย์จึงรีบเข้าลิฟท์ขึ้นไปพบอัยการสูงสุดที่ห้องทำงานชั้น 9 แต่ถูกทีมโฆษกอัยการสูงสุดเชิญมาพูดคุยที่ห้องทำงานชั้น 2 โดยใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ ต่อมา อิทธิพร แก้วทิพย์ รองอัยการสูงสุด มาเป็นตัวแทนอัยการสูงสุดรับมอบหนังสือจากชูวิทย์
อิทธิพร กล่าวว่า จะนำหนังสือเสนอให้อัยการสูงสุดพิจารณา โดยยืนยันว่าอัยการสูงสุดจะดำเนินการอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้สำนวนยังมาไม่ถึงจึงไม่เห็นรายละเอียด ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ แต่ตามขั้นตอนถ้าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร พนักงานสอบสวน จะต้องทำทำรายงานแจ้งเป็นหนังสือให้อัยการสูงสุดพิจารณาทราบแล้วอัยการสูงสุดอาจจะพิจารณามอบหมายให้ พนักงานสอบสวนทำคดีต่อหรือส่งอัยการไปร่วมสอบสวนด้วยก็ได้
