‘ประชาธิปัตย์’ เตรียมตั้งกรรมการสอบ สส.โหวตสวนมติพรรค

23 ส.ค. 2566 - 04:58

  • ‘สาธิต’ เผยเตรียมตั้งกรรมการสอบ สส.โหวตสวนมติพรรค ชี้โทษหนักถึงขั้นขับออก แต่ยังคุยกันได้

  • ด้าน ‘นริศ’ รับเกินคาด สส.ประชาธิปัตย์ โหวตหนุน ‘เศรษฐา’

  • ยันร่วมรัฐบาลบางส่วนทำไม่ได้ ต้องประชุมพรรคและโหวตกันก่อน

DP-will-appoint-an-examination-committee-MPs-who-vote-against-party-resolutions-SPACEBAR-Hero
สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการโหวตของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ว่า ในส่วนของพรรคมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ พรรค, กรรมการบริหารพรรค และ สส. ซึ่งการดำเนินการที่ทำให้พรรคเสื่อมเสีย หรือไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณพรรค ก่อให้เกิดความแตกแยก ก็เป็นสิทธิ์ของสมาชิก 20 คน ที่จะเข้าชื่อตั้งกรรมการสอบสวนว่า สิ่งที่ทำนั้น ทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับพรรคหรือไม่อย่างไร  

“มีสมาชิกหลายคนพูดขึ้นมาว่า ถ้าสมาชิกมีพฤติกรรมแบบนี้ ก็คงต้องดำเนินการทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรค ให้ตั้งกรรมการกรรมการสอบสวน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีการตั้งกรรมการไปเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องทำหนังสือเชิญอย่างเป็นทางการจากพรรคแกนนำรัฐบาล ดังนั้น จึงมีขั้นตอนอยู่แล้ว ฉะนั้น ใครที่เป็น สส.หรือรักษาการตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งโดยตรง และไม่ได้รับมอบหมายจากกรรมการบริหารพรรค ถ้าไปปฏิบัติในสิ่งที่เกินอำนาจหน้าที่ หรือปฏิบัติแล้วทำให้พรรคมีความเสื่อมเสีย เพราะขณะนี้โดยระบบแล้ว ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านไปแล้ว และรัฐบาลก็จัดตั้งรัฐบาล 11 พรรคไปแล้ว ดังนั้น พรรคก็ต้องจัดการภายในของพรรค” สาธิต ระบุ 

ส่วนใครที่จะเป็นผู้จัดการตรงนี้นั้น สาธิต กล่าวว่า ก็ต้องเป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่ระบุว่า ใครจะมีสิทธิ์ทำอะไร อย่างไร เช่น มีสมาชิกบางคนเดินทางไปพบ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตอนแรกบอกว่าไม่ได้ไป แต่ออกมายอมรับในรายการทีวีว่าไป ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายกับพรรค การกระทำแบบนี้ เข้าข่ายไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมและสร้างผลกระทบทำให้พรรคเสียหาย ส่วนกรณีที่สมาชิกอ้างว่าการโหวตเป็นเอกสิทธิ์นั้น สาธิต กล่าวว่า การโหวตเป็นเอกสิทธิ์ก็จริง แต่มติ สส.ในที่ประชุมก็มีความสำคัญ ซึ่งอาจไม่ผิดในแง่ผิดมติ สส. แต่น่าจะผิดในแง่ของการทำให้พรรคเสื่อมเสีย 

เมื่อถามว่า เจ้าตัวจะเป็นผู้ริเริ่มให้มีการตรวจสอบคนที่โหวตสวนพรรคหรือไม่ สาธิต กล่าวว่า มีคนทำแล้ว และเกิน 20 คน ที่เห็นว่าความประพฤติแบบนี้ และที่นำพา สส.ใหม่ ที่ขาดประสบการณ์ไปร่วมด้วย ก็จะเป็นปัญหา เขาก็ดำเนินการแล้ว ซึ่งทั้งหมดมีข้อมูลอยู่แล้ว การทำให้เกิดความเสื่อมเสีย พูดจากลับไปกลับมาทำให้พรรคเสียหาย หรือไปปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ได้รับมอบหมาย ส่วนเมื่อถามว่า 16 เสียง ที่โหวตให้พรรคเพื่อไทย จะสามารถอ้างชื่อว่ามาจากพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ สาธิต กล่าวว่า 16 เสียงนี้ ก็ต้องผ่านที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและ สส.ก่อนที่จะร่วม ทุกอย่างมีขั้นตอน เราปฏิบัติมาหลายครั้งแล้ว และทุกคนก็เข้าใจข้อปฏิบัติดี 

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ที่ประชุมพรรคกำหนดให้เป็นมติพรรค หรือเป็นเอกสิทธิ์ สส. สาธิต กล่าวว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นเอกสิทธิ์ แต่ขั้นตอนของพรรคก็มีการดำเนินการ แม้เป็นเอกสิทธิ์ แต่ถ้าในพรรคไม่ได้มีการคุย ก็คือไม่คุย แต่เมื่อพรรคคุยกันแล้ว และให้เป็นมติ สส. ก็ควรที่จะปฏิบัติตามมตินั้น ถ้าถามว่าผิดไหมก็มีรัฐธรรมนูญที่ใหญ่กว่าข้อบังคับพรรคคุ้มครองอยู่ แต่ในเมื่อมีการตกลงกันแล้วก็ถือว่าทำให้เกิดความแตกแยกและสร้างความเสียหายให้พรรค ส่วนจะต้องขับออกจากพรรคหรือไม่นั้น สาธิต กล่าวว่า จะต้องเป็นไปตามหนักเบา แต่ความเห็นส่วนตัวของตนเห็นว่ากรณีนี้หนักมาก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค และขึ้นอยู่กับข้อบังคับพรรคว่าจะลงโทษอย่างไร ทั้งนี้ ตนคิดว่ากรรมการบริหารพรรคส่วนใหญ่ จะเข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้น 

“มีโทษขับออกจากพรรค แต่ว่าจะทำได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อบังคับพรรคที่ต้องดำเนินการ ส่วนที่มีสมาชิกอยากให้ขับออกจากพรรค ก็ถือเป็นอีกเรื่องนึง แต่ทุกเรื่องพูดคุยกันได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีความเสียหายมากขนาดนี้ หัวหน้าพรรคจะต้องมีหนังสือและตั้งกรรมการสอบ” สาธิต ระบุ 

ขณะที่ นริศ ขำนุรักษ์ รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ โหวตสวนมติพรรคว่า ตนไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค จึงไม่ได้เข้าประชุมพรรค ส่วนการโหวตที่มีเสียงแตกไป ถือเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าตนโหวตเอง ก็จะทำตามมติพรรค แต่ตนอยู่ไกลจากสภาฯ อาจจะประเมินไม่ได้ดีเท่ากับคนที่อยู่ตรงนั้น พร้อมชี้แจงว่า ร่มธรรม ขำนุรักษ์ บุตรชายนั้น โหวตไปตามมติพรรค คืองดออกเสียง ซึ่งตนไม่ได้บอกอะไรบุตรชาย แต่ให้ยืนอยู่ในมติของพรรค จะปลอดภัยที่สุด 

ส่วนกรณีของ ชวน หลีกภัย และ บัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่โหวตไม่เห็นชอบนั้น ได้มีการขออนุญาตในที่ประชุมพรรคแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทำได้ ส่วนมาตรการหลังจากนี้ จะต้องประชุมกรรมการบริหารพรรค เพื่อเร่งหาหัวหน้าพรรค เมื่อถูกถามว่า การโหวตลักษณะนี้ มีแนวโน้มไปร่วมรัฐบาลบางส่วนหรือไม่นั้น นริศ มองว่า ทำไม่ได้ เพราะการร่วมรัฐบาลต้องประชุมพรรคก่อน โดยเป็นมติกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมร่วม สส. ก่อนย้ำว่า การเดินเข้าไปเลยโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทำไม่ได้โดยข้อบังคับ แม้ สส.จะมีเอกสิทธิ์ แต่การจะเข้าหรือไม่เข้าร่วมรัฐบาล ต้องประชุมกรรมการบริหารพรรคและต้องโหวตกันก่อน 

“ยอมรับว่า เหตุการณ์การโหวตสวนมติพรรคครั้งนี้ เกินคาด ผมก็ตกใจว่าทำไมผลออกมาแบบนี้” นริศ ระบุ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์