“สิ่งสำคัญในทุกๆ ความสัมพันธ์ คือ ความเชื่อใจ”
นี่อาจเป็นประโยคบอกเล่าที่เรามักได้ยินอยู่เสมอ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยแล้วก็ตาม แต่ในสังคมที่ดูไม่น่าไว้วางใจ ทุกคนต่างสนใจแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง และพร้อมที่จะเหยียบย่ำทุกคนที่ขว้างหน้า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำว่า ‘ความเชื่อใจ’ และรู้ว่ามันสำคัญอย่างไรต่อการทำงานเป็นทีม?
ความเชื่อใจ คือ ความรู้สึกเชื่อมั่นในบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ เป็นรากฐานที่สำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน คนรัก หรือครอบครัว ซึ่งความรู้สึกนี้มักเกิดจากการได้ใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความรู้จักกันในระยะยาว จนทำเกิดความรู้สึกปลอดภัย ความแน่นอน และคาดเดาได้ก่อนจะค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นความเชื่อใจในที่สุด
ความเชื่อใจจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา แต่บางครั้งคนเราก็ไม่ได้มีเวลามากพอเพื่อที่จะทำความรู้จักและเชื่อใจกัน ยิ่งในสถานะของเพื่อนร่วมงาน ที่จำเป็นต้องเข้าขากันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะมีวิธีการอย่างไรในการสร้างความเชื่อใจขึ้นมา?
เบรเน บราวน์ (Brené Brown) นักวิจัยผู้ศึกษาและหลงใหลในเรื่องนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญและแบ่งแนวคิดออกมาเป็นคุณสมบัติและพฤติกรรมเฉพาะเพื่อให้สามารถเข้าใจและสร้างความเชื่อใจได้ง่ายขึ้น โดยเธอเสนอเป็นตัวย่อ BRAVING ที่สามารถแบ่งได้ดังนี้
ความเชื่อใจ คือ ความรู้สึกเชื่อมั่นในบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยทางจิตใจ เป็นรากฐานที่สำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน คนรัก หรือครอบครัว ซึ่งความรู้สึกนี้มักเกิดจากการได้ใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความรู้จักกันในระยะยาว จนทำเกิดความรู้สึกปลอดภัย ความแน่นอน และคาดเดาได้ก่อนจะค่อยๆ เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นความเชื่อใจในที่สุด
ความเชื่อใจจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา แต่บางครั้งคนเราก็ไม่ได้มีเวลามากพอเพื่อที่จะทำความรู้จักและเชื่อใจกัน ยิ่งในสถานะของเพื่อนร่วมงาน ที่จำเป็นต้องเข้าขากันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราจะมีวิธีการอย่างไรในการสร้างความเชื่อใจขึ้นมา?
เบรเน บราวน์ (Brené Brown) นักวิจัยผู้ศึกษาและหลงใหลในเรื่องนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญและแบ่งแนวคิดออกมาเป็นคุณสมบัติและพฤติกรรมเฉพาะเพื่อให้สามารถเข้าใจและสร้างความเชื่อใจได้ง่ายขึ้น โดยเธอเสนอเป็นตัวย่อ BRAVING ที่สามารถแบ่งได้ดังนี้
B = Boundaries (ขอบเขต)
การกำหนดขอบเขตถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในทุกๆ ความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นการสร้างความเชื่อใจจึงเริ่มต้นจากการรู้จักเข้าใจและเคารพพื้นที่ของคนอื่น ทั้งในแง่ของความคิดและการกระทำ หากคุณเรียนรู้ที่จะพยายามเข้าใจในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆ ของคนๆ นั้น เขาจะเริ่มรู้สึกปลอดภัยและเริ่มวางใจกับคุณR = Reliability (ความน่าเชื่อถือ)
คุณควรทำให้ตัวเองน่าเชื่อถือผ่านคำพูดและการกระทำที่มั่นคง หากคุณพูดว่าอะไรก็ควรทำตามอย่างนั้น อย่าบิดพริ้ว เพราะนี่คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อใจ หากได้รับความรู้สึกมั่นคงจากคำพูดและการกระทำที่น่าเชื่อถืออย่างสม่ำเสมอ ความกังวล ความลังเล และความหวาดระแวงใจก็จะไม่เกิดขึ้นA = Accountability (ความรับผิดชอบ)
เช่นเดียวกับความน่าเชื่อถือ การรับผิดชอบเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คุณควรรับผิดชอบสิ่งที่พูดและสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะในพื้นที่การทำงาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยิ่งไปกว่านั้นคุณควรรู้จักกล่าวขอโทษเมื่อทำผิด และเรียนรู้ที่จะไม่ทำมันอีก
V = Vault (ความปลอดภัย)
ความปลอดภัยไม่ใช่แค่ความรู้สึกถูกปกป้องทางร่างกายเท่านั้น แต่หมายถึงการถูกปกป้องทางความรู้สึก การถูกปลอบประโลม การให้กำลัง การเป็นที่พึ่งพึง หรือแม้แต่การรู้จักเก็บงำความลับที่ถูกแบ่งปันก็จะสามารถช่วยพัฒนาความเชื่อใจในความสัมพันธ์ขึ้นมาได้I = Integrity (ความซื่อสัตย์)
การแสดงความซื่อสัตย์สามารถทำได้ง่ายกว่าที่คุณคิด คุณแค่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณรู้จักแยกแยะและสามารถตัดสินใจตามเหตุผลมากกว่าอารมณ์ได้ คุณสามารถปฏิเสธความสนุกสุขสบายเพียงชั่วครู่เพื่อยึดมั่นในเส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไม่รู้สึกเสียดายN = Non-judgment (การไม่ตัดสิน)
นอกจากความรู้สึกปลอดภัยที่ถูกสร้างขึ้น การเป็นพื้นที่ให้ใครสักคนรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะแตกสลาย ดิ้นรนเหนื่อยล้า และเจ็บปวดแค่ไหนคุณก้จะไม่ตัดสิน กลับกันคุณพร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย และอยู่เคียงข้างในวันที่เขามีปัญหาG = Generosity (ความเอื้ออาทร)
การแสดงออกด้วยความใส่ใจทั้งจากทางคำพูดและการกระทำ โดยไม่ใช่แค่กับบุคคลหรือสิ่งของที่เราอยากผูกพันธ์ด้วยเท่านั้น แต่เป็นการกระทำที่ทำกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น การแสดงออกให้เห็นว่าคุณใส่ใจกับทุกอย่างไม่ว่าสิ่งนั้นจะสำคัญมากหรือน้อยเพียงไหนจะทำให้เกิดความรู้สึกเอื้ออาทรในใจเขาด้วยเช่นกัน และทำให้ความเชื่อใจเกิดขึ้นได้ในที่สุด
หลายคนอาจมองความเชื่อใจอาจสำคัญและจำเป็นต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ลึกซึ้งเท่านั้น แต่ในความจริงและความเชื่อใจต่อเพื่อนร่วมงานและองค์กรก็สำคัญไม่ต่างกันเลย เพราะสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญที่สามารถช่วยพัฒนาการทำงานเป็นทีมให้ดียิ่งขึ้น
การทำงานเป็นทีมคือสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกองค์กร แต่หลายครั้งเมื่อคนในทีมเกิดความไม่ไว้วางใจกันในหมู่สมาชิก การทำงานก็จะออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร สมาชิกในทีมบางคนอาจไม่แบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์อย่างเต็มที่ ไม่หยิบยื่นโอกาสต่างๆ แม้จะรู้ว่าหากคนๆ นั้นได้รับไปอาจจะสามารถทำได้ดีกว่าเพียงเพราะกลัวตัวเองเสียประโยชน์และกังวลว่าเพื่อนร่วมงานจะใช้ความรู้นั้นก้าวไปข้างหน้าได้ไกลกว่าตน แต่หากสมาชิกเชื่อใจและเข้าใจกัน ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป ยิ่งไปกว่านั้น ขวัญกำลังใจมีแววสูงขึ้น ความเครียดน้อยลง เพราะทุกคนสามารถทำงานได้โดยไม่ต้อง 'ระวังหลัง' นั่นเอง
นอกจากความเครียดที่จะน้อยลง ความหลาดกลัวและความกังวลก็จะลดน้อยลงด้วย เนื่องจากพนักงานยุคใหม่มักเห็นการเปลี่ยนแปลงจากทีมผู้บริหาร งาน และบทบาทในบางองค์กรเป็นประจำ สำหรับพนักงานบางคน การประกาศการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทำให้พวกเขาเกิดความกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่สามารถไว้วางใจให้ฝ่ายบริหารดำเนินการให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อพนักงานมีความไว้วางใจอย่างเต็มที่ในการจัดการ ความกลัวและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็จะน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าในสถานที่ทำงานที่พนักงานสามารถเชื่อใจกันได้จะมีการทำผิดจริยะทำ และการกระทำทุจริตน้อยลง เพราะผู้คนตระหนักรู้ว่าการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณจะขัดต่อวัฒนธรรมขององค์กรที่ทุกคนชื่นชอบ
ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆ ความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ เพราะนี่คือรากฐานและตัวชี้ชะตาว่าพนักงานในแต่ละองค์กรจะเติบโตไปในทิศทางไหน จะได้รับโอกาสอย่างไร และจะเติบโต หรือสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ในอนาคตได้มากเพียงไหนให้ผู้คนได้จดจำกัน
การทำงานเป็นทีมคือสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในทุกพื้นที่ ทุกองค์กร แต่หลายครั้งเมื่อคนในทีมเกิดความไม่ไว้วางใจกันในหมู่สมาชิก การทำงานก็จะออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร สมาชิกในทีมบางคนอาจไม่แบ่งปันความรู้หรือประสบการณ์อย่างเต็มที่ ไม่หยิบยื่นโอกาสต่างๆ แม้จะรู้ว่าหากคนๆ นั้นได้รับไปอาจจะสามารถทำได้ดีกว่าเพียงเพราะกลัวตัวเองเสียประโยชน์และกังวลว่าเพื่อนร่วมงานจะใช้ความรู้นั้นก้าวไปข้างหน้าได้ไกลกว่าตน แต่หากสมาชิกเชื่อใจและเข้าใจกัน ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป ยิ่งไปกว่านั้น ขวัญกำลังใจมีแววสูงขึ้น ความเครียดน้อยลง เพราะทุกคนสามารถทำงานได้โดยไม่ต้อง 'ระวังหลัง' นั่นเอง
นอกจากความเครียดที่จะน้อยลง ความหลาดกลัวและความกังวลก็จะลดน้อยลงด้วย เนื่องจากพนักงานยุคใหม่มักเห็นการเปลี่ยนแปลงจากทีมผู้บริหาร งาน และบทบาทในบางองค์กรเป็นประจำ สำหรับพนักงานบางคน การประกาศการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทำให้พวกเขาเกิดความกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขารู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่สามารถไว้วางใจให้ฝ่ายบริหารดำเนินการให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อพนักงานมีความไว้วางใจอย่างเต็มที่ในการจัดการ ความกลัวและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็จะน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแนวโน้มว่าในสถานที่ทำงานที่พนักงานสามารถเชื่อใจกันได้จะมีการทำผิดจริยะทำ และการกระทำทุจริตน้อยลง เพราะผู้คนตระหนักรู้ว่าการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณจะขัดต่อวัฒนธรรมขององค์กรที่ทุกคนชื่นชอบ
ความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆ ความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีขนาดใหญ่ เพราะนี่คือรากฐานและตัวชี้ชะตาว่าพนักงานในแต่ละองค์กรจะเติบโตไปในทิศทางไหน จะได้รับโอกาสอย่างไร และจะเติบโต หรือสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ในอนาคตได้มากเพียงไหนให้ผู้คนได้จดจำกัน