บรรยากาศช่วงเย็น วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะการรวมตัวครั้งใหญ่ของคนหนุ่มสาวถูกทิ้งห่างมาสักระยะ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเหมือน 4 ปีที่แล้ว บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนบางส่วนที่วิ่งรอบเป็นวงเวียนถูกปิดกั้นชั่วคราว จากการที่ประชาชนต่างจับจองพื้นที่เต็มลานเพื่อฟังปราศรัย พวกเขารวมตัวกันในวันนี้ มีจุดประสงค์เดียวกัน คือการแสดงเจตนารมณ์ต่อต้านอำนาจเก่าและชนชั้นนำ
โดยหมายมุ่งพุ่งตกไป ที่ ‘สมาชิกวุฒิสภา’ และ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ที่มีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับกรณีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 รอบแรก (13 กรกฎาคม 2566) และการวินิจฉัยให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็น สส. เดินออกจากห้องประชุมสภาไปอย่างจำใจ
มวลชนนำโดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และเครือข่าย Respect My Vote พร้อมประชาชนฟากฝั่งประชาธิปไตยหลายภาคส่วน เริ่มชุมนุมกันตั้งแต่ตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน อยู่ยาวไปถึงช่วงพระจันทร์ลอยเด่นเกือบตั้งฉากใจกลางศรีษะ ผู้เขียนที่ร้างลา ‘การทำข่าวม็อบใหญ่’ มาไม่ต่ำกว่า 1 ปี มีรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกับมวลชนบางคน ที่เงียบหายห่างจากท้องถนนมาพักใหญ่
โดยหมายมุ่งพุ่งตกไป ที่ ‘สมาชิกวุฒิสภา’ และ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ที่มีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับกรณีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 รอบแรก (13 กรกฎาคม 2566) และการวินิจฉัยให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็น สส. เดินออกจากห้องประชุมสภาไปอย่างจำใจ
มวลชนนำโดยกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และเครือข่าย Respect My Vote พร้อมประชาชนฟากฝั่งประชาธิปไตยหลายภาคส่วน เริ่มชุมนุมกันตั้งแต่ตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน อยู่ยาวไปถึงช่วงพระจันทร์ลอยเด่นเกือบตั้งฉากใจกลางศรีษะ ผู้เขียนที่ร้างลา ‘การทำข่าวม็อบใหญ่’ มาไม่ต่ำกว่า 1 ปี มีรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกับมวลชนบางคน ที่เงียบหายห่างจากท้องถนนมาพักใหญ่

ประเด็นทางกายภาพ เท่าที่สังเกตผ่านสายตาสั้นไม่ต่ำกว่า 600 ของผม (หากผิดพลาดหรือไม่ตรงกับความเห็นของท่านโปรดให้อภัย) สามารถแยกออกไปได้ 3 เรื่องใหญ่ ๆ ประการแรก คือ จำนวนผู้ชุมนุมที่ทางกองบรรณาธิการคาดว่าจะมาแบบมืดฟ้ามัวดินน จากผลพวงความโกลาหลในรัฐสภาอันทรงเกียรติ แต่เมื่อถึงเวลารวมตัวกลับมีจำนวนไม่มากตามคาดการณ์ไว้ มองตามหลักภูมิสถาปัตย์จะเห็นชัดว่ามวลชนที่มาร่วม จะปักหลักแบบกระจุกตัวเป็นกลุ่มก้อน กินถนนวงเวียนทิศตะวันตกไปเพียง 3 – 4 เลนรถยนต์ มากหน่อยเฉพาะหน้าเวทีที่ตั้งอยู่ติดพื้นถนน และฟากฟุตปาธเยื้องโรงเรียนสตรีวิทยาเท่านั้น ผู้เขียนจึงไม่ขอประเมินเป็นตัวเลขเพราะเกรงจะผิดพลาด
ประการที่สอง เท่าที่สังเกตด้วยสายตา รอบนี้จำนวน ‘คนหนุ่มคนสาว’ ดูบางตาลงไปกว่าที่คิด หากเปรียบเทียบกับช่วงเบ่งบานในปี 2562 - 2563 ซึ่งเป็นปรกติวิสัยหลังการเคลื่อนไหวถูกชะลอตัว จากการระบาดของโควิด -19 ซึ่งข้อมูลชุดนี้เห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว ตั้งแต่การชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภา ในวันโหวตนายกฯ รอบแรก
แต่สิ่งที่เติมเต็มเข้ามา กลับกลายเป็น ‘กลุ่มวัยกลางคน’ และ ‘กลุ่มผู้สูงวัย’ ข้าพเจ้าเข้าใจเองว่าเป็นประชาชนในเครือข่ายผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนมาก มันสอดคล้องกับคำปราศรัยบนเวทีหลายช่วงที่ประกาศชัด ว่ามีประชาชนหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นลำแข้งทางเศรษฐกิจเข้ามาร่วมชุมนุมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาปากท้อง ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’
ประการที่สอง เท่าที่สังเกตด้วยสายตา รอบนี้จำนวน ‘คนหนุ่มคนสาว’ ดูบางตาลงไปกว่าที่คิด หากเปรียบเทียบกับช่วงเบ่งบานในปี 2562 - 2563 ซึ่งเป็นปรกติวิสัยหลังการเคลื่อนไหวถูกชะลอตัว จากการระบาดของโควิด -19 ซึ่งข้อมูลชุดนี้เห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว ตั้งแต่การชุมนุมหน้าอาคารรัฐสภา ในวันโหวตนายกฯ รอบแรก
แต่สิ่งที่เติมเต็มเข้ามา กลับกลายเป็น ‘กลุ่มวัยกลางคน’ และ ‘กลุ่มผู้สูงวัย’ ข้าพเจ้าเข้าใจเองว่าเป็นประชาชนในเครือข่ายผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนมาก มันสอดคล้องกับคำปราศรัยบนเวทีหลายช่วงที่ประกาศชัด ว่ามีประชาชนหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นลำแข้งทางเศรษฐกิจเข้ามาร่วมชุมนุมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาปากท้อง ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของรัฐบาล ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’

ประการสุดท้าย คือมวลชน ณ ที่นี้ไม่ได้มีเพียงแต่ ‘ด้อมส้ม’ แต่มี ‘กลุ่มเสื้อแดง’ และประชาชนทั่วไป ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้อยู่ในขบวนการเข้าร่วมชุมนุม เรื่องนี้ยืนยันชัดเจน เพราะพยายามเข้าพูดคุยสอบถามกับ หญิง - ชาย สูงวัยหลายท่าน ซึ่งพวกเขาระบุว่าไม่ใช่ฐานแฟนคลับเดิมของ ‘พรรคก้าวไกล’
มิตินี้เห็นค่อนข้างหน้าสนใจ ยิ่งหยิบผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่พรรคคนรุ่นใหม่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด เป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 14 ล้านเสียง นักวิชาการไม่ว่าจะฝากฝั่งใด ก็บอกเป็นเสียงตรงกันว่า การขยับขึ้นแท่นสู่หัวตารางไม่ได้มีแค่ฐานเสียงเดิม ที่เป็นกำลังหลักในการเกื้อหนุน แต่เติมเต็มด้วยเสียงของผู้คนที่ ‘เบื่อหน่าย’ กับรัฐบาลประยุทธ์ ที่ดำเนินมาได้เกือบหนึ่งทศวรรษเข้าไปแล้ว
ดังนั้นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกจึงไม่ได้มีเพียงแค่ ‘เด็ก ๆ’ แต่กลับเต็มไปด้วยผู้มี ‘วัยวุฒิ’ เข้าร่วมเป็นองคาพยพ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ‘สีเสื้อ’ ที่สวมใส่ ต่างปะปนไปด้วย ‘สีส้ม’ และ ‘สีดำ’ ตามธีมงาน ‘ฌาปนกิจ’
มิตินี้เห็นค่อนข้างหน้าสนใจ ยิ่งหยิบผลการเลือกตั้งปี 2566 ที่พรรคคนรุ่นใหม่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุด เป็นอันดับ 1 จำนวนกว่า 14 ล้านเสียง นักวิชาการไม่ว่าจะฝากฝั่งใด ก็บอกเป็นเสียงตรงกันว่า การขยับขึ้นแท่นสู่หัวตารางไม่ได้มีแค่ฐานเสียงเดิม ที่เป็นกำลังหลักในการเกื้อหนุน แต่เติมเต็มด้วยเสียงของผู้คนที่ ‘เบื่อหน่าย’ กับรัฐบาลประยุทธ์ ที่ดำเนินมาได้เกือบหนึ่งทศวรรษเข้าไปแล้ว
ดังนั้นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกจึงไม่ได้มีเพียงแค่ ‘เด็ก ๆ’ แต่กลับเต็มไปด้วยผู้มี ‘วัยวุฒิ’ เข้าร่วมเป็นองคาพยพ ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ‘สีเสื้อ’ ที่สวมใส่ ต่างปะปนไปด้วย ‘สีส้ม’ และ ‘สีดำ’ ตามธีมงาน ‘ฌาปนกิจ’

ผมพยายามฟังถ้อยคำปราศรัยบนเวที เพื่อจับประเด็นมานำเสนอให้ผู้อ่านได้รับทราบความเคลื่อนไหว เนื้อหาส่วนมากล้วนเป็นไปตามทำนองเดียวกัน เสมือนเวทีประกวดร้องเพลง ที่นักร้องแต่ละคนเลือกขับร้องเพลงเดียวกัน ต่างกันที่ซุ่มมเสียงและลีลาในการนำเสนอ
ประเด็นการปราศรัย เป็นไปอย่างที่กล่าวไหวในย่อหน้าแรก ๆ คือ การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของ สว. และ ศาลรธน. แต่สิ่งที่ ‘อานนท์ นำภา’ แกนนำมวลชนผู้เปรียบดั่งแม่ทัพใหญ่ ที่การสื่อสารกับผู้เข้าร่วม หลายเรื่องน่าถอดใจความและสังเคราะห์ต่อ
อาทิ การส่งสัญญาณให้เกิดการรวมตัวมากขึ้น เพื่อความสม่ำเสมอในการจัดกิจกรรม ส่วนหนึ่งเขาอาจมองออกว่า จำนวนมวลชนที่มาในวันนี้ อาจไม่มากเท่าที่คาดหวัง แต่เรื่องนี้ถือเป็นปรกติวิสัย ห่างหายไปนาน ต้องเริ่มเลี้ยงมวลชนใหม่ อานนท์ถึงกับบอกว่า หากรวมตัวกันได้ถึง 1 แสนคน อาจทำให้เผด็จการ หรือขั้วอำนาจเก่าถึงคราวดับสูญได้
ประเด็นการปราศรัย เป็นไปอย่างที่กล่าวไหวในย่อหน้าแรก ๆ คือ การวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของ สว. และ ศาลรธน. แต่สิ่งที่ ‘อานนท์ นำภา’ แกนนำมวลชนผู้เปรียบดั่งแม่ทัพใหญ่ ที่การสื่อสารกับผู้เข้าร่วม หลายเรื่องน่าถอดใจความและสังเคราะห์ต่อ
อาทิ การส่งสัญญาณให้เกิดการรวมตัวมากขึ้น เพื่อความสม่ำเสมอในการจัดกิจกรรม ส่วนหนึ่งเขาอาจมองออกว่า จำนวนมวลชนที่มาในวันนี้ อาจไม่มากเท่าที่คาดหวัง แต่เรื่องนี้ถือเป็นปรกติวิสัย ห่างหายไปนาน ต้องเริ่มเลี้ยงมวลชนใหม่ อานนท์ถึงกับบอกว่า หากรวมตัวกันได้ถึง 1 แสนคน อาจทำให้เผด็จการ หรือขั้วอำนาจเก่าถึงคราวดับสูญได้

อีกกรณี คือการกดดันพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่จะมีบทบาทเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังพรรคก้าวไกลมิได้ไปต่อ อย่างการย้ำเตือน ‘พรรคเพื่อไทย’ ให้ธำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ไม่พลิกขั้วหรือจับมือกับพรรคชนชั้นนำ (ขั้วรัฐบาลเก่า)
เขาหยิบยกเหตุผลเตือนใจว่า หากคุณ (พรรคเพื่อไทย) จะไปจับมือกับ ‘ประชาธิปปัตย์’ ขอให้นึกถึงใบหน้า ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ว่าเคยทำอะไรไว้กับคนเสื้อแดง หากจะร่วมหอลงโลงกับ ‘ภูมิใจไทย’ ให้นึกภาพของ ‘เนวิน ชิดชอบ’ ซึ่งน่าจะโยงถึงประเด็นทางการเมือง ‘มันจบแล้วครับนาย’ และหากจะไปจับมือกับ ‘พรรค 2 ลุง’ อันได้แก่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ และ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ให้นึกถึงหน้าบุคคลที่สังเวยชีวิตให้กับการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง และผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่ต้องโทษานุโทษขั้นร้ายแรง
อานนท์ ยังย้ำว่า นี่คือครั้งแรก (ปี 2566) ที่มีการลงถนน โดยสาเหตุหลักคือความอดทนที่เกินขีดจำกัด ต่อจากนี้คือการเริ่มต้นต่อสู้ครั้งสุดท้าย “เขาเหยียบย่ำเรา เขาเหยียบเราให้จมดิน โดยไม่รู้ว่าเราไม่ใช่เม็ดดินเม็ดทราย แต่เราคือเมล็ดพืช ยิ่งเหยียบยิ่งงอกงาม”
เขาหยิบยกเหตุผลเตือนใจว่า หากคุณ (พรรคเพื่อไทย) จะไปจับมือกับ ‘ประชาธิปปัตย์’ ขอให้นึกถึงใบหน้า ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ว่าเคยทำอะไรไว้กับคนเสื้อแดง หากจะร่วมหอลงโลงกับ ‘ภูมิใจไทย’ ให้นึกภาพของ ‘เนวิน ชิดชอบ’ ซึ่งน่าจะโยงถึงประเด็นทางการเมือง ‘มันจบแล้วครับนาย’ และหากจะไปจับมือกับ ‘พรรค 2 ลุง’ อันได้แก่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ และ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ให้นึกถึงหน้าบุคคลที่สังเวยชีวิตให้กับการชุมนุมบนถนนราชดำเนิน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง และผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่ต้องโทษานุโทษขั้นร้ายแรง
อานนท์ ยังย้ำว่า นี่คือครั้งแรก (ปี 2566) ที่มีการลงถนน โดยสาเหตุหลักคือความอดทนที่เกินขีดจำกัด ต่อจากนี้คือการเริ่มต้นต่อสู้ครั้งสุดท้าย “เขาเหยียบย่ำเรา เขาเหยียบเราให้จมดิน โดยไม่รู้ว่าเราไม่ใช่เม็ดดินเม็ดทราย แต่เราคือเมล็ดพืช ยิ่งเหยียบยิ่งงอกงาม”

ให้หลังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แถลงการณ์ของผู้ชุมนุมทั้ง 3 ข้อก็ถูกอ่านกลางถนนราชดำเนินอีกครั้ง เสมือนเป็นการฝากความไปถึงหู สมาชิกวุฒิสภา และพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ประกอบไปด้วย
1) สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ขัดขวาง และอนุมัติตามเจตจำนงของประชาชน ด้วยการลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาโดยทันที
2) พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค ต้องธำรงความสามัคคีอย่างเหนียวแน่น จับมือร่วมกันเพื่อรักษาความเป็นปึกแผ่นในพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
3) พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค ต้องยึดมั่นในสัญญาข้อตกลงร่วม และไม่ลดระดับสัญญาทางนโยบายใดๆ ที่ได้ให้ไว้แก่พี่น้องประชาชน
เมื่อกระบวนการบนเวทีจบสิ้น การแสดงเชิงสัญลักษณ์จึงเริ่มขึ้น ตามรูปแบบกิจกรรม ‘ฌาปนกิจ’ โลงศพสีขาว และหุ่นจำลอง พร้อมพวงหลีดที่ถูกติดป้ายระบุความ ‘ส.ว.และศาลรัฐธรรมนูญ’ ถูกนำมาวางซ้อนทับกันกลางถนนราชดำเนิน แกนนำบนเวทีอ่านบทกวีคำสาปแช่งตามธรรมเนียม เพื่อปลุกใจมวลชนให้หึกเหิม ก่อนทีมงานที่อยู่ด้านล่าง จะทำการราดน้ำมันลง ‘กองฟอนจำลอง’ และจุดใฝ่เผาตามขั้นตอน
ระหว่างนั้นมีประชาชนบางส่วน ทยอยนำดอกไม้จันไปวางเพื่อแสดงความ ‘อาลัย’ ต่อความยุติธรรมในสังคม มันเป็นการเพิ่มเชื้อไฟ ให้พระเพลิงสามารถเผาพลาญได้ในเวลาอันสั้นขึ้น ก่อนทีมงานที่อยู่ด้านหลังเวทีจะจุดดอกไม้ไฟ เสมอเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ‘การต่อสู้ครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว’
1) สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ขัดขวาง และอนุมัติตามเจตจำนงของประชาชน ด้วยการลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาโดยทันที
2) พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค ต้องธำรงความสามัคคีอย่างเหนียวแน่น จับมือร่วมกันเพื่อรักษาความเป็นปึกแผ่นในพรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตยอย่างมั่นคง
3) พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย 8 พรรค ต้องยึดมั่นในสัญญาข้อตกลงร่วม และไม่ลดระดับสัญญาทางนโยบายใดๆ ที่ได้ให้ไว้แก่พี่น้องประชาชน
เมื่อกระบวนการบนเวทีจบสิ้น การแสดงเชิงสัญลักษณ์จึงเริ่มขึ้น ตามรูปแบบกิจกรรม ‘ฌาปนกิจ’ โลงศพสีขาว และหุ่นจำลอง พร้อมพวงหลีดที่ถูกติดป้ายระบุความ ‘ส.ว.และศาลรัฐธรรมนูญ’ ถูกนำมาวางซ้อนทับกันกลางถนนราชดำเนิน แกนนำบนเวทีอ่านบทกวีคำสาปแช่งตามธรรมเนียม เพื่อปลุกใจมวลชนให้หึกเหิม ก่อนทีมงานที่อยู่ด้านล่าง จะทำการราดน้ำมันลง ‘กองฟอนจำลอง’ และจุดใฝ่เผาตามขั้นตอน
ระหว่างนั้นมีประชาชนบางส่วน ทยอยนำดอกไม้จันไปวางเพื่อแสดงความ ‘อาลัย’ ต่อความยุติธรรมในสังคม มันเป็นการเพิ่มเชื้อไฟ ให้พระเพลิงสามารถเผาพลาญได้ในเวลาอันสั้นขึ้น ก่อนทีมงานที่อยู่ด้านหลังเวทีจะจุดดอกไม้ไฟ เสมอเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ‘การต่อสู้ครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว’


หากหยิบยกข้อเท็จจริงในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา มายกอ้าง ‘พรรคอนาคตใหม่ - ก้าวไกล’ เป็นพรรคการเมืองที่ทำเกมมวลชนได้อย่างเข้าถึง มีความคล้ายคลึงกับ ‘กลุ่มนปช.’ พรรคเพื่อไทย และ ‘กลุ่มกปปส.’ พรรคประชาธิปัตย์ ในแง่ความสำคัญด้านการเคลื่อนไหว ที่มักขยายผลเรื่องราวจากท้องถนน ไปสู่อาคารรัฐสภา หรือทำเนียบรัฐบาล ได้อย่างรวดเร็ว สร้างแรงสั่นสะเทือนให้ผู้มีอำนาจนาจต้อง ‘เคลียปัญหา’ หรือ ‘ถอยหนีปัญหา’
อย่าง กรณีการยื่นแก้ไขมาตรา 112 ที่มีทุนเดิมมาจากการเรียกร้องบนท้องถนน ก็กลายเป็นประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลให้ สว.หรือขั้วอำนาจเก่าใช้ยกอ้าง ในการไม่โหวตเลือกพิธา และพยายามกีดกั้นไม่ให้พรรคก้าวไกล เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลชุดใหม่ได้
แต่อย่างไรเสีย จากการปราศรัยบนเวทีของอานนท์ แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขาพร้อมไปต่อ แม้วันข้างหน้าพรรคก้าวไกลอาจต้องลงเอยในฐานะ ‘ฝ่ายค้าน’ พวกเขาก็พร้อมสนับสนุน อย่างที่์แสดงความมั่นใจ ผ่านสถิติตัวเลขคะแนนการเลือกตั้ง ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ (ปี 2562) ผนวกกับหลักสัจธรรมแห่งความจริงเรื่องการเกิด - ดับ ในอีก 4 ปี ข้างหน้าพรรคก้าวไกล จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านเสียงแน่นอน
ดังนั้นต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของมวลชนบนท้องถนน ควบคู่กับเกมชิงอำนาจที่เกิดขึ้นในสภา ว่าความเป็นไปในสภาพความเป็นจริง จะสอดคล้องกันหรือไม่ ‘รัฐบาลในฝัน’ ที่เปลี่ยนหัวเรือจาก ‘ก้าวไกล’ มาเป็น ‘เพื่อไทย’ จะเกิดขึ้นได้จริงตามความหวังของประชาชนหรือไม่…
คงต้องให้กาลเวลาเป็นผู้ตอบ เพราะการเมืองไทยล้วนซับซ้อนยากทำนายก่อน
แต่ที่แน่ ๆ เมื่อประกาศศึกแล้ว งานนี้นักข่าวคงต้องเตรียมใจเหนื่อยอีกระลอก
สภาวะนอนกลางดิน กินกลางม็อบ คงเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกไม่นาน
อย่าง กรณีการยื่นแก้ไขมาตรา 112 ที่มีทุนเดิมมาจากการเรียกร้องบนท้องถนน ก็กลายเป็นประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลให้ สว.หรือขั้วอำนาจเก่าใช้ยกอ้าง ในการไม่โหวตเลือกพิธา และพยายามกีดกั้นไม่ให้พรรคก้าวไกล เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลชุดใหม่ได้
แต่อย่างไรเสีย จากการปราศรัยบนเวทีของอานนท์ แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขาพร้อมไปต่อ แม้วันข้างหน้าพรรคก้าวไกลอาจต้องลงเอยในฐานะ ‘ฝ่ายค้าน’ พวกเขาก็พร้อมสนับสนุน อย่างที่์แสดงความมั่นใจ ผ่านสถิติตัวเลขคะแนนการเลือกตั้ง ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ (ปี 2562) ผนวกกับหลักสัจธรรมแห่งความจริงเรื่องการเกิด - ดับ ในอีก 4 ปี ข้างหน้าพรรคก้าวไกล จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 20 ล้านเสียงแน่นอน
ดังนั้นต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของมวลชนบนท้องถนน ควบคู่กับเกมชิงอำนาจที่เกิดขึ้นในสภา ว่าความเป็นไปในสภาพความเป็นจริง จะสอดคล้องกันหรือไม่ ‘รัฐบาลในฝัน’ ที่เปลี่ยนหัวเรือจาก ‘ก้าวไกล’ มาเป็น ‘เพื่อไทย’ จะเกิดขึ้นได้จริงตามความหวังของประชาชนหรือไม่…
คงต้องให้กาลเวลาเป็นผู้ตอบ เพราะการเมืองไทยล้วนซับซ้อนยากทำนายก่อน
แต่ที่แน่ ๆ เมื่อประกาศศึกแล้ว งานนี้นักข่าวคงต้องเตรียมใจเหนื่อยอีกระลอก
สภาวะนอนกลางดิน กินกลางม็อบ คงเกิดขึ้นต่อจากนี้อีกไม่นาน
