







บรรยากาศริมฟุตปาธ หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้าแยกลาดพร้าว ฝั่งถนนพหลโยธินขาออก ค่ำวานนี้ (26 เม.ย. 66) เต็มไปด้วยประชาชนที่ให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล ต่างรับฟังคำปราศรัยของ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ แกนนำคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญของพรรคหลายคน
อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เริ่มปราศรัยโดยการกล่าวขอบคุณ บรรดากองเชียร์ที่ให้การสนับสนุนทีมงานมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนมีทุกภูมิภาคแห่แหนให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าคนไทยต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ขอไม่กล่าวถึงนโยบายพรรค เนื่องจากสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์หรือเวทีปราศรัยของแกนนำคนอื่นๆ ได้
โดยจะขอกล่าวถึงความสำคัญของการเลือกตั้งที่จะถึง พร้อมระบุถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยในปัจจุบัน ว่าเกิดจากการทำรัฐประหารปี 2549 และ 2557 จนเกิดการแบ่งฝ่ายทางการเมือง ฝ่ายหนึ่งต้องการพาประเทศไทยไปข้างหน้า เพื่อไปสู่ความเจริญ และประชาธิปไตย ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ต้องการเห็นประเทศเดินต่อไป เพราะกังวลว่าจะเสียอำนาจทางการเมือง
“ประเทศไทยเคยมีรัฐประหาร 2 ครั้ง มีการยุบพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไป 4 พรรค ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพรรคอนาคตใหม่ด้วย มีการฉีกรัฐธรรมนูญและเขียนใหม่ขึ้นมา ประกาศแช่แข็งประเทศไว้ 20 ปี มีการสลายการชุมนุมครั้งรุนแรงและจับกุมคนเห็นต่าง ริดรอนสิทธิเสรีภาพ พวกเขาต้องการการทำลายฝั่งประชาธิปไตย เขาไม่เคยเกรงใจประชาชนเลยใน 17 ปีที่ผ่านมา” ธนาธร กล่าว
ทั้งนี้ ธนาธร ได้กล่าวถึงกรณีกระแสดราม่าเกี่ยวกับแบบเรียนวิชาภาษาไทย ‘ภาษาพาที’ ที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา ว่าคือตัวอย่างของการพยายามกักขังประเทศไทย ค่านิยมและประสบการณ์ที่ล้าสมัย สอนให้คนเชื่อ สอนให้คนก็ต้องทนต่อไป อย่าเรียกร้อง อย่าคิดฝันถึงสิทธิเสรีภาพ อย่าคิดถึงสังคมที่ดีกว่า จงเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ที่ยากจนเพราะทำบุญไม่พอ อย่าไปเชื่อเพราะว่าการเมืองไม่ดี การฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามทำให้เชื่ออย่างนั้น จึงเป็นผลพวงของความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา 17 ปี
“ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ ความพยายามที่จะพาสังคมไทยหลุดออกจากความขัดแย้งทางการเมืองในรอบ 17 ปี ไม่ใช่การบอกให้ปรองดองกัน การปรองดองสมัยนี้ที่พูดกันหมายความว่าอย่างไรรู้ไหม มันหมายความว่าพวกคุณอย่าเดินขบวน ก้มหน้าก้มตายอมรับระบบระเบียบสังคมแบบนี้ต่อไป นี่คือคำว่าปรองดองในความหมายของเขา เก็บซ่อนปัญหาซุกไว้ใต้พรม ลืมๆ ว่าเพื่อนของเรายังอยู่ในคุก ลืมๆ ไปว่าเพื่อนบางคนที่ออกมาฝันอยากเห็นโลกที่ดีกว่านี้ ถูกกลั่นแกล้งคุกคามโดยไม่ได้รับความยุติธรรม ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการกากบาทเพื่อพาประเทศไปข้างหน้า”
กระนั้น ธนาธร ระบุว่า การพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งทางการเมืองได้ ไม่ใช่หลงลืมอดีตที่ขมขื่น แต่ต้องหาทางออก ต้องทำให้กองทัพอยู่ใต้ภาคพลเรือน สร้างแพลตฟอร์มแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ โดยฉันทามติของประชาชน ซึ่งเป็นความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ และเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ ต้องฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับมา โดยใช้ฐานที่ตั้งของประชาชน คือระบบรัฐสภา ในการหาทางออกให้กับประเทศ
“นี่เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอ่อนแอมากที่สุด ทั้งทางการเมือง และทางวัฒนธรรม เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำเรื่องยากๆ ก็คือวันนี้ ไม่ทำวันนี้จะทำวันไหน ที่ผ่านมาเขาไม่เกรงใจเรา ทำไมเวลาเรามีโอกาส เราต้องกินข้าวทีละคำ ทำไมเราต้องทำทีละเรื่องด้วย เมื่อเรื่องต่างๆ ทำพร้อมกันได้ และวันสำคัญวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นการตัดสินว่าคนไทยพร้อมเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ บัตรเลือกพรรคจะเป็นตัวตัดสินคนไทย ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากน้อยเท่าไหร่”
ทั้งนี้ ธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ประชาชนที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยอย่าเพิ่งหมดหวัง อย่าเพิ่งมองว่าประเทศไทยมาได้แค่นี้ อย่าเพิ่งคิดย้ายประเทศ มาร่วมกันสร้างประเทศให้ดีกว่านี้ด้วยกัน อนาคตของเมืองไทยอยู่ที่ประชาชน พรรคจะตั้งใจไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เริ่มปราศรัยโดยการกล่าวขอบคุณ บรรดากองเชียร์ที่ให้การสนับสนุนทีมงานมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนมีทุกภูมิภาคแห่แหนให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ถือเป็นสัญญาณที่ทำให้เห็นว่าคนไทยต้องการความเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ขอไม่กล่าวถึงนโยบายพรรค เนื่องจากสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์หรือเวทีปราศรัยของแกนนำคนอื่นๆ ได้
โดยจะขอกล่าวถึงความสำคัญของการเลือกตั้งที่จะถึง พร้อมระบุถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยในปัจจุบัน ว่าเกิดจากการทำรัฐประหารปี 2549 และ 2557 จนเกิดการแบ่งฝ่ายทางการเมือง ฝ่ายหนึ่งต้องการพาประเทศไทยไปข้างหน้า เพื่อไปสู่ความเจริญ และประชาธิปไตย ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ต้องการเห็นประเทศเดินต่อไป เพราะกังวลว่าจะเสียอำนาจทางการเมือง
“ประเทศไทยเคยมีรัฐประหาร 2 ครั้ง มีการยุบพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไป 4 พรรค ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพรรคอนาคตใหม่ด้วย มีการฉีกรัฐธรรมนูญและเขียนใหม่ขึ้นมา ประกาศแช่แข็งประเทศไว้ 20 ปี มีการสลายการชุมนุมครั้งรุนแรงและจับกุมคนเห็นต่าง ริดรอนสิทธิเสรีภาพ พวกเขาต้องการการทำลายฝั่งประชาธิปไตย เขาไม่เคยเกรงใจประชาชนเลยใน 17 ปีที่ผ่านมา” ธนาธร กล่าว
ทั้งนี้ ธนาธร ได้กล่าวถึงกรณีกระแสดราม่าเกี่ยวกับแบบเรียนวิชาภาษาไทย ‘ภาษาพาที’ ที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา ว่าคือตัวอย่างของการพยายามกักขังประเทศไทย ค่านิยมและประสบการณ์ที่ล้าสมัย สอนให้คนเชื่อ สอนให้คนก็ต้องทนต่อไป อย่าเรียกร้อง อย่าคิดฝันถึงสิทธิเสรีภาพ อย่าคิดถึงสังคมที่ดีกว่า จงเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ที่ยากจนเพราะทำบุญไม่พอ อย่าไปเชื่อเพราะว่าการเมืองไม่ดี การฝ่ายอนุรักษ์นิยมพยายามทำให้เชื่ออย่างนั้น จึงเป็นผลพวงของความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา 17 ปี
“ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ ความพยายามที่จะพาสังคมไทยหลุดออกจากความขัดแย้งทางการเมืองในรอบ 17 ปี ไม่ใช่การบอกให้ปรองดองกัน การปรองดองสมัยนี้ที่พูดกันหมายความว่าอย่างไรรู้ไหม มันหมายความว่าพวกคุณอย่าเดินขบวน ก้มหน้าก้มตายอมรับระบบระเบียบสังคมแบบนี้ต่อไป นี่คือคำว่าปรองดองในความหมายของเขา เก็บซ่อนปัญหาซุกไว้ใต้พรม ลืมๆ ว่าเพื่อนของเรายังอยู่ในคุก ลืมๆ ไปว่าเพื่อนบางคนที่ออกมาฝันอยากเห็นโลกที่ดีกว่านี้ ถูกกลั่นแกล้งคุกคามโดยไม่ได้รับความยุติธรรม ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการกากบาทเพื่อพาประเทศไปข้างหน้า”
กระนั้น ธนาธร ระบุว่า การพาสังคมไทยออกจากความขัดแย้งทางการเมืองได้ ไม่ใช่หลงลืมอดีตที่ขมขื่น แต่ต้องหาทางออก ต้องทำให้กองทัพอยู่ใต้ภาคพลเรือน สร้างแพลตฟอร์มแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ โดยฉันทามติของประชาชน ซึ่งเป็นความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้ และเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ ต้องฟื้นฟูประชาธิปไตยกลับมา โดยใช้ฐานที่ตั้งของประชาชน คือระบบรัฐสภา ในการหาทางออกให้กับประเทศ
“นี่เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอ่อนแอมากที่สุด ทั้งทางการเมือง และทางวัฒนธรรม เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำเรื่องยากๆ ก็คือวันนี้ ไม่ทำวันนี้จะทำวันไหน ที่ผ่านมาเขาไม่เกรงใจเรา ทำไมเวลาเรามีโอกาส เราต้องกินข้าวทีละคำ ทำไมเราต้องทำทีละเรื่องด้วย เมื่อเรื่องต่างๆ ทำพร้อมกันได้ และวันสำคัญวันที่ 14 พฤษภาคม เป็นการตัดสินว่าคนไทยพร้อมเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ บัตรเลือกพรรคจะเป็นตัวตัดสินคนไทย ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากน้อยเท่าไหร่”
ทั้งนี้ ธนาธร กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ประชาชนที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยอย่าเพิ่งหมดหวัง อย่าเพิ่งมองว่าประเทศไทยมาได้แค่นี้ อย่าเพิ่งคิดย้ายประเทศ มาร่วมกันสร้างประเทศให้ดีกว่านี้ด้วยกัน อนาคตของเมืองไทยอยู่ที่ประชาชน พรรคจะตั้งใจไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง