พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดย สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และเลขาธิการพรรค พร้อม วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค อภิชัย เตชะอุบล แกนนำพรรค ร่วมกันแถลงต้อนรับ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และร่วมเป็นทีมงานภาคใต้ พร้อมกับเปิดตัวว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส. พื้นที่ภาคใต้ ประกอบด้วย จ.สงขลา ได้แก่ ณรงค์พร ณ พัทลุง เขต 2
จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ สุภาพ ขุนศรี เขต 2 และ สุธรรม จริตงาม เขต 4
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พื้นที่ภาคอีสาน ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา ได้แก่ ประพิศ นวมโคกสูง เขต 3 อรทัย พลวิเศษ เขต 6 ตติรัฐ รัตนเศรษฐ เขต 8 อรัชมน รัตนเศรษฐ เขต 9 วิรัตน์ วาริชอลังการ เขต 14 พจน์ เจริญสันเทียะ เขต 16 และ จ.ชัยภูมิ ได้แก่ จิตราภรณ์ กล้าแท้ เขต 1 กาญจนา จังหวะ เขต 2 และ สนั่น พัชรเตชโสภณ เขต 4
ด้าน นิพิฏฐ์ กล่าวว่า หลายคนสงสัยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ความจริงกับ พล.อ.ประวิตร ครั้งหนึ่งทำงานร่วมกับท่านในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.กลาโหม ตนเป็น รมว.วัฒนธรรม ฉะนั้นไม่ใช่เพิ่งรู้จักท่าน แต่ด้วยวิถีการเมืองแยกย้ายกันไปอยู่คนละพรรค จนกระทั่งวันนี้ตนได้รับเกียรติจากหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ทำให้มาร่วมทำงานกับ พปชร. อย่าคิดว่าเป็นขุนพลหรืออะไร ไม่ใช่ เป็นการพูดเพื่อให้เกียรติกัน ตนมาอยู่นี่เพื่อมาร่วมทำงานกับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ทำงานร่วมกันเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้ง ไม่ได้มาเป็นผู้นำอะไรทั้งสิ้น ในภาคใต้นั้น
นิพิฏฐ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวกับตนว่าอยากให้ช่วยดูแลภาคใต้ ตนก็รับหน้าที่ที่ได้มอบหมาย และ พล.อ.ประวิตรยังบอกให้อภิชัยมาช่วยตนในภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ในภาคใต้เรามีบุคคลที่หัวหน้าพรรคมอบหมายหลายคน ทั้งอภิชัย รวมถึงอนุมัติ อาหมัด อดีต ส.ว. แต่อนุมัติยังอยู่ในเงื่อนไขยังพ้นตำแหน่ง ส.ว.ไม่ครบ 2 ปี จึงจะช่วยเรื่องการแนะนำและอะไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสิ่งไหนที่ตนทำได้เพื่อชัยชนะของ พปชร. ตนพร้อมจะใช้พลังทุกส่วนเพื่อให้ได้รับชัยชนะในภาคใต้ ต้องขอขอบคุณพล.อ.ประวิตร เลขาธิการพรรค และวิรัชซึ่งเป็นผู้เชื้อเชิญตนมาอยู่ตรงนี้
ทั้งนี้ นิพิฏฐ์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ พปชร. ไม่มีชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว. กลาโหม จะเป็นผลดีหรือไม่ดีกับการหาเสียงพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า คิดว่าทุกพรรคไม่ใช่เฉพาะภาคใต้มีคะแนนนิยมใกล้เคียงกันมาก ซึ่งตนพยายามบอกผู้สมัครมาตลอดว่า ต้องทำให้ตัวเองแข็งแรง ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตอนนี้คะแนนใกล้เคียงกันหมดแล้ว ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ตัวผู้สมัครมากกว่า
เมื่อถามว่า กระแสภาคใต้ชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ หากไม่อยู่พรรคพลังประชารัฐแล้ว จะสามารถดึงดูดคะแนนจากประชาชนได้หรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ยอมรับกระแส พล.อ.ประยุทธ์ ในภาคใต้ดี แต่ก็มีเงื่อนไขหลายประการ ซึ่งตนคิดว่า อาจจะไม่ดีเหมือนกับการเลือกตั้งปี 62 อีกต่อไป อย่างเช่นวาระการดำรงตำแหน่ง ถ้าเลือกไป 2 ปีก็ต้องเลือกนายกฯใหม่ นอกจากนี้ พรรคใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพรรคที่เหมือนสร้างขึ้นมาใหม่เลย เพราะฉะนั้นไม่ง่ายไปแข่งกับพรรคที่มส.ส.อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า ตั้งเป้ากวาดส.ส.ภาคใต้เท่าไหร่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่รู้พรรคตั้งเป้าไว้เท่าไหร่ แต่เราจะทำให้ดีที่สุด เมื่อถามว่า เพิ่งอยู่พรรคสร้างอนาคตไทยไม่นานย้ายมาพรรคพลังประชารัฐ ประชาชนจะสับสนหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า คงไม่ เพราะมันมีเหตุจำเป็น ส่วนเหตุจำเป็นเกิดจากอะไรนั้น ขอให้พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นคนพูดเอง การที่ตนเดินออกมาไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เพราะคุยกันมาไม่ต่ำกว่า 3 เดือนแล้ว
เมื่อถามว่า เป็นปัญหาขัดแย้งภายในพรรคสร้างอนาคตไทยหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ความขัดแย้ง เพราะตนที่ตนร่วมตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และ สุพล ฟองงาม รองหัวหน้าพรรค มีหลักการที่นำอยู่ 2 เรื่องคือ
1. ไม่สุดขั้วทางทางการเมือง ไม่แดงจัด ไม่เหลืองจัด ไม่ซ้ายจัด ไม่ขวาจัด
2. เราจะเป็นพรรคที่มุ่งเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าปัญหาทางการเมือง
แต่พอพรรคเดินมาได้ระยะหนึ่งก็มีแนวคิดในการควบรวมพรรค ซึ่งตนไม่ได้ขัดข้องหากการควบรวมพรรค จะทำให้พรรคมีตัวตนในทางการเมือง มีที่ยืนในทางการเมือง โดยเฉพาะเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้พรรคโตยาก แต่การควบรวมต้องไม่ขัดหลักการ 2 ข้อนี้
“แต่ปรากฎว่าการควบรวมมีการเบี่ยงเบนไปบางส่วน อย่างเช่น มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคจากอุตตม เป็นคนอื่น และที่สำคัญคือ มีการเปลี่ยนแปลงแคนดิเดตนายกฯ จากสมคิด ไปเป็นบุคคลอื่น โดยสมคิด จะเป็นเบอร์ 2 และเบอร์ 3 ไป ซึ่งผมคิดว่าหลักการตรงนี้มันถูกเปลี่ยนแปลงไป และผมได้ยืนยีนแล้วว่าหากรวมพรรคลักษณะแบบนี้ ผมคงไม่สามารถทำงานในพรรคได้ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจไม่ได้มีความขัดแย้ง” นิพิฏฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีการมองกันว่า การที่มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคต้องการให้มาชนกับพรรคภูมิใจไทยในภาคใต้โดยเฉพาะ นาที รัชกิจประการ แม่ทัพภาคใต้ พรรคภูมิใจไทย นิพิฏฐ์ กล่าวว่า “ไม่หรอก ผมอยู่ที่ไหนก็ชนได้ ผมก็ชนเจ๊นาทีกระเด็นไปแล้ว ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไป 3 ปีแล้ว ไม่มีปัญหาผมชนได้ทั้งนั้น”
เมื่อถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะต้องชนกับนางนาทีจะเป็นการทวงคืนพื้นที่เเขต 2 พัทลุงหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่ชนลักษณะนั้น ขอเป็นตัวเลือกใหม่ก็แล้วกัน ไม่ถือว่าชนกันเป็นศัตรูขนาดนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การย้ายมาพลังประชารัฐ มีลูกทีมตามมาหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า มาเยอะ และยอมรับว่าเป็นปัญหาเพราะมีพื้นที่ทับซ้อนกัน ความจริง 30 กว่าคนที่วางไว้มาทั้งหมด แต่เมื่อพื้นที่ทับซ้อนกันก็ต้องมาคุยกันใหม่อีกที
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในพื้นที่ จ.พัทลุง คิดว่าจะสู้กับนางนาทีกับ นริศ ขำนุรักษ์ ได้หรือไม่ นิพิฏฐ์ หยุดไปก่อนกล่าวว่า คิดว่าได้ครับ การเมืองมันต้องเลือกความหวัง ใครมีความหวังมากกว่า มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่าก็ได้รับเลือกไป ใครไม่มีความหวังก็ไม่ได้รับเลือกหรอก อย่าง ส.ว. เขาดูเบื้องหลังเวลาเลือก แต่ผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมือง เขาดูช้างหน้า ซึ่งตนคิดว่าสู้ได้
จ.นครศรีธรรมราช ได้แก่ สุภาพ ขุนศรี เขต 2 และ สุธรรม จริตงาม เขต 4
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พื้นที่ภาคอีสาน ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา ได้แก่ ประพิศ นวมโคกสูง เขต 3 อรทัย พลวิเศษ เขต 6 ตติรัฐ รัตนเศรษฐ เขต 8 อรัชมน รัตนเศรษฐ เขต 9 วิรัตน์ วาริชอลังการ เขต 14 พจน์ เจริญสันเทียะ เขต 16 และ จ.ชัยภูมิ ได้แก่ จิตราภรณ์ กล้าแท้ เขต 1 กาญจนา จังหวะ เขต 2 และ สนั่น พัชรเตชโสภณ เขต 4
ด้าน นิพิฏฐ์ กล่าวว่า หลายคนสงสัยว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ความจริงกับ พล.อ.ประวิตร ครั้งหนึ่งทำงานร่วมกับท่านในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ พล.อ.ประวิตร เป็น รมว.กลาโหม ตนเป็น รมว.วัฒนธรรม ฉะนั้นไม่ใช่เพิ่งรู้จักท่าน แต่ด้วยวิถีการเมืองแยกย้ายกันไปอยู่คนละพรรค จนกระทั่งวันนี้ตนได้รับเกียรติจากหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ทำให้มาร่วมทำงานกับ พปชร. อย่าคิดว่าเป็นขุนพลหรืออะไร ไม่ใช่ เป็นการพูดเพื่อให้เกียรติกัน ตนมาอยู่นี่เพื่อมาร่วมทำงานกับหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ทำงานร่วมกันเพื่อชัยชนะในการเลือกตั้ง ไม่ได้มาเป็นผู้นำอะไรทั้งสิ้น ในภาคใต้นั้น
นิพิฏฐ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวกับตนว่าอยากให้ช่วยดูแลภาคใต้ ตนก็รับหน้าที่ที่ได้มอบหมาย และ พล.อ.ประวิตรยังบอกให้อภิชัยมาช่วยตนในภาคใต้ด้วย ทั้งนี้ในภาคใต้เรามีบุคคลที่หัวหน้าพรรคมอบหมายหลายคน ทั้งอภิชัย รวมถึงอนุมัติ อาหมัด อดีต ส.ว. แต่อนุมัติยังอยู่ในเงื่อนไขยังพ้นตำแหน่ง ส.ว.ไม่ครบ 2 ปี จึงจะช่วยเรื่องการแนะนำและอะไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสิ่งไหนที่ตนทำได้เพื่อชัยชนะของ พปชร. ตนพร้อมจะใช้พลังทุกส่วนเพื่อให้ได้รับชัยชนะในภาคใต้ ต้องขอขอบคุณพล.อ.ประวิตร เลขาธิการพรรค และวิรัชซึ่งเป็นผู้เชื้อเชิญตนมาอยู่ตรงนี้
ทั้งนี้ นิพิฏฐ์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่ พปชร. ไม่มีชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว. กลาโหม จะเป็นผลดีหรือไม่ดีกับการหาเสียงพื้นที่ภาคใต้หรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า คิดว่าทุกพรรคไม่ใช่เฉพาะภาคใต้มีคะแนนนิยมใกล้เคียงกันมาก ซึ่งตนพยายามบอกผู้สมัครมาตลอดว่า ต้องทำให้ตัวเองแข็งแรง ได้รับการยอมรับจากประชาชน ตอนนี้คะแนนใกล้เคียงกันหมดแล้ว ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ตัวผู้สมัครมากกว่า
เมื่อถามว่า กระแสภาคใต้ชื่นชมพล.อ.ประยุทธ์ หากไม่อยู่พรรคพลังประชารัฐแล้ว จะสามารถดึงดูดคะแนนจากประชาชนได้หรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ยอมรับกระแส พล.อ.ประยุทธ์ ในภาคใต้ดี แต่ก็มีเงื่อนไขหลายประการ ซึ่งตนคิดว่า อาจจะไม่ดีเหมือนกับการเลือกตั้งปี 62 อีกต่อไป อย่างเช่นวาระการดำรงตำแหน่ง ถ้าเลือกไป 2 ปีก็ต้องเลือกนายกฯใหม่ นอกจากนี้ พรรคใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพรรคที่เหมือนสร้างขึ้นมาใหม่เลย เพราะฉะนั้นไม่ง่ายไปแข่งกับพรรคที่มส.ส.อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม
เมื่อถามว่า ตั้งเป้ากวาดส.ส.ภาคใต้เท่าไหร่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่รู้พรรคตั้งเป้าไว้เท่าไหร่ แต่เราจะทำให้ดีที่สุด เมื่อถามว่า เพิ่งอยู่พรรคสร้างอนาคตไทยไม่นานย้ายมาพรรคพลังประชารัฐ ประชาชนจะสับสนหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า คงไม่ เพราะมันมีเหตุจำเป็น ส่วนเหตุจำเป็นเกิดจากอะไรนั้น ขอให้พรรคสร้างอนาคตไทยเป็นคนพูดเอง การที่ตนเดินออกมาไม่ใช่ไม่มีเหตุผล เพราะคุยกันมาไม่ต่ำกว่า 3 เดือนแล้ว
เมื่อถามว่า เป็นปัญหาขัดแย้งภายในพรรคสร้างอนาคตไทยหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ความขัดแย้ง เพราะตนที่ตนร่วมตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และ สุพล ฟองงาม รองหัวหน้าพรรค มีหลักการที่นำอยู่ 2 เรื่องคือ
1. ไม่สุดขั้วทางทางการเมือง ไม่แดงจัด ไม่เหลืองจัด ไม่ซ้ายจัด ไม่ขวาจัด
2. เราจะเป็นพรรคที่มุ่งเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าปัญหาทางการเมือง
แต่พอพรรคเดินมาได้ระยะหนึ่งก็มีแนวคิดในการควบรวมพรรค ซึ่งตนไม่ได้ขัดข้องหากการควบรวมพรรค จะทำให้พรรคมีตัวตนในทางการเมือง มีที่ยืนในทางการเมือง โดยเฉพาะเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้พรรคโตยาก แต่การควบรวมต้องไม่ขัดหลักการ 2 ข้อนี้
“แต่ปรากฎว่าการควบรวมมีการเบี่ยงเบนไปบางส่วน อย่างเช่น มีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคจากอุตตม เป็นคนอื่น และที่สำคัญคือ มีการเปลี่ยนแปลงแคนดิเดตนายกฯ จากสมคิด ไปเป็นบุคคลอื่น โดยสมคิด จะเป็นเบอร์ 2 และเบอร์ 3 ไป ซึ่งผมคิดว่าหลักการตรงนี้มันถูกเปลี่ยนแปลงไป และผมได้ยืนยีนแล้วว่าหากรวมพรรคลักษณะแบบนี้ ผมคงไม่สามารถทำงานในพรรคได้ ซึ่งทุกคนก็เข้าใจไม่ได้มีความขัดแย้ง” นิพิฏฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่ามีการมองกันว่า การที่มาอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคต้องการให้มาชนกับพรรคภูมิใจไทยในภาคใต้โดยเฉพาะ นาที รัชกิจประการ แม่ทัพภาคใต้ พรรคภูมิใจไทย นิพิฏฐ์ กล่าวว่า “ไม่หรอก ผมอยู่ที่ไหนก็ชนได้ ผมก็ชนเจ๊นาทีกระเด็นไปแล้ว ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไป 3 ปีแล้ว ไม่มีปัญหาผมชนได้ทั้งนั้น”
เมื่อถามว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะต้องชนกับนางนาทีจะเป็นการทวงคืนพื้นที่เเขต 2 พัทลุงหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่ชนลักษณะนั้น ขอเป็นตัวเลือกใหม่ก็แล้วกัน ไม่ถือว่าชนกันเป็นศัตรูขนาดนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การย้ายมาพลังประชารัฐ มีลูกทีมตามมาหรือไม่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า มาเยอะ และยอมรับว่าเป็นปัญหาเพราะมีพื้นที่ทับซ้อนกัน ความจริง 30 กว่าคนที่วางไว้มาทั้งหมด แต่เมื่อพื้นที่ทับซ้อนกันก็ต้องมาคุยกันใหม่อีกที
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในพื้นที่ จ.พัทลุง คิดว่าจะสู้กับนางนาทีกับ นริศ ขำนุรักษ์ ได้หรือไม่ นิพิฏฐ์ หยุดไปก่อนกล่าวว่า คิดว่าได้ครับ การเมืองมันต้องเลือกความหวัง ใครมีความหวังมากกว่า มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่าก็ได้รับเลือกไป ใครไม่มีความหวังก็ไม่ได้รับเลือกหรอก อย่าง ส.ว. เขาดูเบื้องหลังเวลาเลือก แต่ผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมือง เขาดูช้างหน้า ซึ่งตนคิดว่าสู้ได้
