



เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ณ โดยมี แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการฯ เดินคู่ลงมาจากตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อมายังตึกสันติไมตรี
โดยนายกรัฐมนตรีได้สวมสูทลายผ้าขาวม้า สีสันสดใส ซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวไทย ซึ่งเรียกเสียงฮือฮากับสีสันของสูทนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่านี่เป็นสูทที่เป็นผ้าได้รับจากประชาชน ขณะลงพื้นที่หาเสียงหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบติดตลกว่า ไม่ใช่ เพราะผืนใหญ่ไม่พอ ก่อนจะหัวเราะตบท้าย และบอกต่อว่าผมชอบสีสดใสอยู่แล้ว ขณะที่คนตัดก็ตัดได้อย่างดีเป็นดีไซเนอร์ที่เก่ง
เมื่อถามว่าเลือกสีเองเลยหรือไม่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครับ ครับ
ขณะที่ แพทองธาร ก็ได้นำเอาผ้าขาวม้ามาผูกที่เอว เช่นเดียวกับคณะทำงานและรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุมวันนี้ โดยผู้สื่อข่าวสอบถามว่าทำไม แพทองธารจึงไม้ใส่เสื้อสีสันเหมือนนายกรัฐมนตรี แพทองธาร กล่าวว่า มีผ้าขาวม้า เอาผ้าขาวม้าไปก่อน ก่อนที่จะถามกลับว่า เหมือนไม่เข้าใช่ไหม
เมื่อถามต่อว่าเข้าทำเนียบรัฐบาลในรอบกี่ปี แพทองธาร กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นเพราะไม่ได้เข้าทำเนียบมาเป็น 17 ปีแล้ว
โดยนายรัฐมนตรี กล่าวว่า ผมขอบคุณสำหรับรอยยิ้มการต้อนรับที่อบอุ่น ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาหากันมาประชุมครั้งนี้เป็นความร่วมกันระหว่างส่วนราชการภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อพิจารณาและการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยอย่างบูรณาการ รัฐบาลปัจจุบันมีนโยบายให้ความสำคัญกับการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง คนเขายังไม่อยากต่อเนื่องเพราะเห็นว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า และบริการพร้อมกับเครื่องคิดความขยันมากในการแข่งขันของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์และเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก
ปัจจุบันมีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการผลักดัน ซอฟท์พาวเวอร์ของไทยหลายครั้ง นโยบายส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยหลายคณะ มีความคาบเกี่ยวโดยต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น รัฐบาลจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟเวอร์แห่งชาติ มีเป้าหมายผ่านคอนเทนต์ 11 อุตสาหกรรมซอฟท์พาวเวอร์
ด้าน แพทองธาร ระบุว่า เสนอแผนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวแห่งชาติ มุ่งหมายสร้างระบบนิเวศให้กับอุตสาหกรรมของประเทศไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยแรงงานทักษะสูง และอุตสาหกรรมซอฟท์พาวเวอร์ในสาขาต่างๆและการฑูตเชิงวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาศักยภาพของวัฒนธรรมและคนไทย ซึ่งหากได้รับการสนับสนุนที่เต็มที่จากไปได้ไกลอย่างแน่นอน ซึ่งนโยบายนี้และนโยบายอื่นของเราจะต้องทำควบคู่ไปด้วยกัน โดยจะมุ่งยกระดับคุณภาพยกระดับทักษะของคนไทยจำนวน 20 ล้านคน ที่เป็นแรงงานในปัจจุบันให้เป็นแรงงานที่มีทักษะสูง และเป็นแรงงานสร้างสรรค์ โดยจากการคัดสรรหาสามารถดำเนินการนโยบายได้สำเร็จจะมีรายได้เข้าประเทศ 4 ล้านล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้จะได้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นหนึ่งในผู้นำของประเทศของโลกในเรื่องซอฟทต์พาวเวอร์ เพื่อที่จะให้การดำเนินการของนโยบายนี้บรรลุวัตถุประสงค์แบ่งวัตถุการทำงานเป็น 3 ขั้นตอน คือขั้นตอนการพัฒนาคน เฟ้นหาบุคคลเพื่อม่พัฒนาเป็นแรงแรงฝีมือ พัฒนาแรงงานอุตสาหกรรมซัพพลายเออร์ต่างๆในประเทศ 11 สาขาประกอบด้วยอาหารกีฬา เทศกาลท่องเที่ยว ดนตรี หนังสือ ภาพยนตร์ เกม ศิลปะ การออกแบบและแฟชั่น โดยจะมีการปรับแก้ข้อกฎหมายที่มีอยู่มานานแต่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ สนับสนุนเงินทุนวิจัยและพัฒนาสร้างแรงจูงใจทางภาษี พร้อมกับเพิ่มพื้นที่การแสดงผลงานอย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากนี้ยังสร้างพื้นฐานชุมชนจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือ TCDC ในทุกจังหวัด ให้มี Co-Working Space ต่อยอดเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่มั่นคงในระดับภูมิภาค และให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ระดับสากล
โดยเป้าหมายระยะสั้น 100 วันแรกภายในวันที่ 11 มกราคม 2567 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจะพร้อมให้ประชาชนลงทะเบียน ความสนใจในด้านต่างๆ เปลี่ยนแปลงกฎหมายต่างๆในระดับการสูงและพระราชกฤษฎีกา ส่งเสริมสอดคล้องกับนโยบาย รวมไปถึงร่วมจัด Winter Festival ให้กรุงเทพฯครั้งยิ่งใหญ่
โดยภายในเวลา 6 เดือน 3 เมษายน 2567 จะเริ่มกระบวนการบ่มเพาะศักยภาพ ทักษะสร้างสรรค์ พร้อมเสนอพระราชบัญญัติ THACCA หรือ Thailand creative Content Agency สู่สภาผู้แทนราษฎรและจัดงานสงกรานต์ทั้งประเทศ ให้เป็นเทศกาลระดับโลกหรือ World Water Festival
ภายในระยะเวลา 1 ปี 3 ตุลาคม 2561 กระบวนการบ่มเพาะศักยภาพควรจะสามารถสร้างรายงานทักษะสูงและแรงงานสร้างสรรค์ได้เป็นจำนวนอย่างน้อย 1 ล้านคน โดยคาดหมายว่าพระราชบัญญัติTHACCA จะได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป
โดยในช่วงท้าย แพทองธาร ระบุว่า เชื่อได้ว่าประเทศไทยจะมีชื่อเสียงกว้างไกลไปถึงระดับโลกความสำเร็จนี้จะเป็นสัดส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ กระตุ้น 20 ล้านครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูง