สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลัง แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ประกาศนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท หากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นรัฐบาล โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทย วิเคราะห์เรื่องนี้มาอย่างละเอียดว่าในอีก 5-6 ปี ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลดลง เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น เราจะปล่อยให้คนอยู่กับรายได้ต่ำแบบนี้ไม่ได้
และที่นายกรัฐมนตรีถามว่าจะเอาเงินมาจากไหน ซึ่งท่านเข้าใจผิดว่ารัฐต้องควักเงิน จริงๆ รัฐไม่ได้ควักเงิน แต่คนที่ควักเงินคือนายจ้าง ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็คิดว่าเราจะช่วยเฉพาะลูกจ้างอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องช่วยนายจ้างให้อยู่ได้ด้วย โดยนายจ้างต้องมีรายได้สูงขึ้น พรรค พท.ก็ต้องช่วยให้นายจ้างมีรายได้สูงขึ้น โดยต้องทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น หรืออาจจะเป็นระบบภาษี การเซ็นข้อตกลงเขตการค้าเสรีให้เยอะ เมื่อเยอะขึ้นคนลงทุนเขาก็ไม่ต้องจ่ายภาษีส่งออก
ส่วนมีคนห่วงว่าเมื่อค่าแรงสูง สินค้าก็จะมีราคาแพง โดยหากว่ากันตามหลักทฤษฎีค่าแรงเป็นเพียงแค่ 10% ของการผลิต ซึ่งที่มีการขึ้นสูงเป็นสิ่งที่รัฐควบคุมไม่ได้ เป็นการฉวยโอกาส เราจะอ้างตรงนี้ไม่ได้ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นความจำเป็น แต่ยืนยันว่าพรรคต้องช่วยทุกคน ไม่ต้องกังวล และที่มีคนคิดว่าหากเป็นแบบนี้ผู้ประกอบการจะย้ายฐานผลิตเยอะขึ้น ซึ่งการย้ายฐานผลิตนั้น มีหลายปัจจัยไม่ใช่แค่ค่าแรง ที่ผ่านมา 8 ปี ไม่ได้ขึ้นค่าแรงเลย ทำไมเขาย้ายฐานผลิต ฉะนั้น หากรัฐบาลคิดครบวงจรก็สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ พร้อมมั่นใจ นโยบายนี้สามารถทำให้สำเร็จได้
“พรรคเพื่อไทย บอกว่าเมื่อก่อนเรื่องยากๆ เราก็ทำมาแล้ว เราเคยทำค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาท และไม่มีใครเจ๊งด้วย ตอนนี้เราก็เคราะห์แล้วจากปี 2565 จนถึงปี 2570 แล้วเราสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่รัฐบาลนี้ทำไม่ได้เพราะเราคิดรายได้เดิม ธุรกิจเดิม แต่ที่พรรคเพื่อไทย คิดคือเราสร้างเศรษฐกิจใหม่ รายได้ใหม่ ซึ่งจะเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่อยู่ได้และโต้คลื่นความเปลี่ยนแปลงและแก้วิกฤตต่างๆ ได้” สุทิน กล่าว
สุทิน ยังกล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ เปิดตัว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ โดยมองว่า คนๆเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาคนกลุ่มความคิดเดิมๆได้ และคนที่เข้าไปอาจจะเสียด้วย วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องใหญ่ คนเก่งขนาดไหนหากไปอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ใช่ ก็จะลดทอนความสามารถของคนลง หากวัฒนธรรมองค์กรดีๆ ถึงคนจะไม่เก่งเข้าไปอยู่ก็จะส่งเสริมทำให้คนเก่งขึ้น
เมื่อถามว่า มิ่งขวัญ ยังสามารถขายได้ในสนามเลือกตั้งหรือไม่ สุทิน ก็มองว่า มิ่งขวัญ เคยตั้งพรรคเองมา 2 ครั้ง หากคิดว่าตัวเขาเองขายได้ ก็คงไม่ย้ายไปพรรคอื่น
“ถึงบอกสินค้าอาจะดีแต่ถ้าไปอยู่ในแพ็คเกจที่ไม่ดีมันก็ไม่ได้ คนเก่งไปอยู่ในองค์กรที่ไม่เก่งอาจจะถูกลิดรอน ราคาอาจจะตกก็ได้ ท่านก็เคยตั้งพรรคตัวเองแล้ว ท่านก็น่าจะรู้ว่าจะไปได้หรือไม่ได้ อันนั้นคือคำตอบ” สุทิน กล่าว
สุทิน มองด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว เพราะพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโพล หรือการตอบรับ ประชาชนได้รับการกดดันมา 8 ปี คิดว่าประชาชนต้องหาทางออกให้ได้ และเราก็เสนอทางออกให้เขาแล้ว ส่วนเมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศจะอยู่ต่ออีก 2 ปี จะทำให้พรรคเพื่อไทย ไม่ชนะการเลือกตั้งหรือไม่นั้น สุทิน มองว่า ถือเป็นการแสดงความชัดเจนดี
“ก็ต้องขอขอบคุณมาก จะอยู่อีกกี่ปีก็บอกเลย ประชาชนจะได้คิดได้ง่ายๆ แต่ถามว่าเราจะชนะได้หรือไม่ ตนคิดว่าไม่มีใครจะชนะหรือแพ้แค่ใครจะอยู่ไม่กี่ปี อยู่ที่ประชาชนจะทนอยู่กับระบบเก่าๆ ได้หรือไม่ อีก 2 ปีชาวบ้านจะทนแบบเดิมได้อีกหรือไม่ นี่เป็นจุดที่เราคิด ถ้าเราเสนอแนวทางใหม่ว่าอีก 2-4 ปีข้างหน้า หากประชาชนสามารถก้าวออกจากแบบเดิมได้ ตนว่าเขาคิดเป็น ว่าเขาจะเลือกใคร” สุทิน กล่าว
เมื่อถามอีกว่า หากให้ประเมินว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อหรือไม่ สุทิน กล่าวว่า ตนคิดว่าหากเขาสามารถสร้างความหวังใหม่ๆ ทำให้ประชาชนได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนว่าเขาก็น่าจะบริสุทธิ์ แต่วันนี้ผ่านมา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยังคิดเดิมๆ คนนำทัพก็ยังเป็นคนเดิม ตนคิดว่าก็น่าจะเป็นแบบเดิม และเชื่อว่าประชาชนก็จะไปแนวทางใหม่
และที่นายกรัฐมนตรีถามว่าจะเอาเงินมาจากไหน ซึ่งท่านเข้าใจผิดว่ารัฐต้องควักเงิน จริงๆ รัฐไม่ได้ควักเงิน แต่คนที่ควักเงินคือนายจ้าง ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็คิดว่าเราจะช่วยเฉพาะลูกจ้างอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องช่วยนายจ้างให้อยู่ได้ด้วย โดยนายจ้างต้องมีรายได้สูงขึ้น พรรค พท.ก็ต้องช่วยให้นายจ้างมีรายได้สูงขึ้น โดยต้องทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น หรืออาจจะเป็นระบบภาษี การเซ็นข้อตกลงเขตการค้าเสรีให้เยอะ เมื่อเยอะขึ้นคนลงทุนเขาก็ไม่ต้องจ่ายภาษีส่งออก
ส่วนมีคนห่วงว่าเมื่อค่าแรงสูง สินค้าก็จะมีราคาแพง โดยหากว่ากันตามหลักทฤษฎีค่าแรงเป็นเพียงแค่ 10% ของการผลิต ซึ่งที่มีการขึ้นสูงเป็นสิ่งที่รัฐควบคุมไม่ได้ เป็นการฉวยโอกาส เราจะอ้างตรงนี้ไม่ได้ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นความจำเป็น แต่ยืนยันว่าพรรคต้องช่วยทุกคน ไม่ต้องกังวล และที่มีคนคิดว่าหากเป็นแบบนี้ผู้ประกอบการจะย้ายฐานผลิตเยอะขึ้น ซึ่งการย้ายฐานผลิตนั้น มีหลายปัจจัยไม่ใช่แค่ค่าแรง ที่ผ่านมา 8 ปี ไม่ได้ขึ้นค่าแรงเลย ทำไมเขาย้ายฐานผลิต ฉะนั้น หากรัฐบาลคิดครบวงจรก็สามารถขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ พร้อมมั่นใจ นโยบายนี้สามารถทำให้สำเร็จได้
“พรรคเพื่อไทย บอกว่าเมื่อก่อนเรื่องยากๆ เราก็ทำมาแล้ว เราเคยทำค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาท และไม่มีใครเจ๊งด้วย ตอนนี้เราก็เคราะห์แล้วจากปี 2565 จนถึงปี 2570 แล้วเราสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่รัฐบาลนี้ทำไม่ได้เพราะเราคิดรายได้เดิม ธุรกิจเดิม แต่ที่พรรคเพื่อไทย คิดคือเราสร้างเศรษฐกิจใหม่ รายได้ใหม่ ซึ่งจะเป็นเศรษฐกิจใหม่ที่อยู่ได้และโต้คลื่นความเปลี่ยนแปลงและแก้วิกฤตต่างๆ ได้” สุทิน กล่าว
สุทิน ยังกล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ เปิดตัว มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ โดยมองว่า คนๆเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาคนกลุ่มความคิดเดิมๆได้ และคนที่เข้าไปอาจจะเสียด้วย วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องใหญ่ คนเก่งขนาดไหนหากไปอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ใช่ ก็จะลดทอนความสามารถของคนลง หากวัฒนธรรมองค์กรดีๆ ถึงคนจะไม่เก่งเข้าไปอยู่ก็จะส่งเสริมทำให้คนเก่งขึ้น
เมื่อถามว่า มิ่งขวัญ ยังสามารถขายได้ในสนามเลือกตั้งหรือไม่ สุทิน ก็มองว่า มิ่งขวัญ เคยตั้งพรรคเองมา 2 ครั้ง หากคิดว่าตัวเขาเองขายได้ ก็คงไม่ย้ายไปพรรคอื่น
“ถึงบอกสินค้าอาจะดีแต่ถ้าไปอยู่ในแพ็คเกจที่ไม่ดีมันก็ไม่ได้ คนเก่งไปอยู่ในองค์กรที่ไม่เก่งอาจจะถูกลิดรอน ราคาอาจจะตกก็ได้ ท่านก็เคยตั้งพรรคตัวเองแล้ว ท่านก็น่าจะรู้ว่าจะไปได้หรือไม่ได้ อันนั้นคือคำตอบ” สุทิน กล่าว
สุทิน มองด้วยว่า พรรคพลังประชารัฐไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว เพราะพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโพล หรือการตอบรับ ประชาชนได้รับการกดดันมา 8 ปี คิดว่าประชาชนต้องหาทางออกให้ได้ และเราก็เสนอทางออกให้เขาแล้ว ส่วนเมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศจะอยู่ต่ออีก 2 ปี จะทำให้พรรคเพื่อไทย ไม่ชนะการเลือกตั้งหรือไม่นั้น สุทิน มองว่า ถือเป็นการแสดงความชัดเจนดี
“ก็ต้องขอขอบคุณมาก จะอยู่อีกกี่ปีก็บอกเลย ประชาชนจะได้คิดได้ง่ายๆ แต่ถามว่าเราจะชนะได้หรือไม่ ตนคิดว่าไม่มีใครจะชนะหรือแพ้แค่ใครจะอยู่ไม่กี่ปี อยู่ที่ประชาชนจะทนอยู่กับระบบเก่าๆ ได้หรือไม่ อีก 2 ปีชาวบ้านจะทนแบบเดิมได้อีกหรือไม่ นี่เป็นจุดที่เราคิด ถ้าเราเสนอแนวทางใหม่ว่าอีก 2-4 ปีข้างหน้า หากประชาชนสามารถก้าวออกจากแบบเดิมได้ ตนว่าเขาคิดเป็น ว่าเขาจะเลือกใคร” สุทิน กล่าว
เมื่อถามอีกว่า หากให้ประเมินว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่ต่อหรือไม่ สุทิน กล่าวว่า ตนคิดว่าหากเขาสามารถสร้างความหวังใหม่ๆ ทำให้ประชาชนได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนว่าเขาก็น่าจะบริสุทธิ์ แต่วันนี้ผ่านมา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ยังคิดเดิมๆ คนนำทัพก็ยังเป็นคนเดิม ตนคิดว่าก็น่าจะเป็นแบบเดิม และเชื่อว่าประชาชนก็จะไปแนวทางใหม่