‘พิธา’ ลั่นไม่หวั่น 3 ด่านหิน ‘กกต.-ศาล รธน.-ส.ว.’ เผยวางคีย์แมนดูแลไว้แล้ว

7 มิ.ย. 2566 - 09:25

  • ‘พิธา’ สวนประธานเครือสหพัฒน์ อนุมานบริหารล่มเหมือนยูเครน

  • พร้อมแซะ ‘บิ๊กตู่’ ไม่ยกหูมายินดีหลังชนะเลือกตั้ง บอกธรรมเนียมปฏิบัติคงต่างกัน

  • เฉไฉใครอยู่เบื้องหลังปลุกผี ‘ไอทีวี’ กลับมาเป็นสื่อ บอกต้องรอผลเลือกตั้ง กกต.

  • ไม่หวั่น 3 ด่านหิน ‘กกต.-ศาลรัฐธรรมนูญ-ส.ว.’ แต่ไม่ประมาท เผยวางคีย์แมนดูแลไว้แล้ว

Phitha-said-would-not-underestimate-all-3-checkpoints-SPACEBAR-Hero
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ชี้แจงภายหลังการประชุม 8 หัวหน้าพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถึงกรณี กกต. สอบถามพรรคก้าวไกล เรื่องการใช้สัญลักษณ์ ‘ค้อนเคียว’ โดยเจ้าตัวได้ย้ำถึงคำชี้แจงที่เพจพรรคก้าวไกล ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า เป็นการแสดงออกถึงเครื่องมือทำมาหากินของปาร์ตี้ลิสต์ที่อยู่ใน 100 คน ที่มีทั้งพี่น้องเกษตรกรและแรงงาน ซึ่งจุดประสงค์มีเพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น  

ส่วนกรณีประธานเครือสหพัฒน์ ออกมาแสดงความไม่มั่นใจในการบริหารประเทศ และสื่อว่าอาจเป็นเหมือนประเทศยูเครนนั้น พิธา บอกว่า การอนุมานจากประเทศหนึ่งไปอยู่กับประเทศหนึ่ง ตามที่พูดมาคือยูเครน ตนติดว่าผิดบริบทไปเยอะ ไม่ได้เป็นส่วนที่จำเป็นที่จะต้องอนุมานที่เกินกันไป ขณะเดียวกัน เรื่องความเชื่อมั่น พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลตอนนี้พร้อมเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นไปเรื่อยๆ ในเรื่องการบริหารจัดการเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ทำงานเพื่อคนทุกคน นอกจากนี้ พิธา อ้างย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมต.กลาโหม ยังไม่โทรศัทพ์มาเเสดงความยินดีที่ชนะเลือกตั้ง หลังผ่านไป 4 อาทิตย์

“ยังไม่มีการโทรมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจว่าธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองของตนกับ พล.อ.ประยุทธ์ คงต่างกัน ขณะเดียวกัน วันหนึ่งถ้าตนเป็นนายกฯ แล้วมีการเลือกตั้งแล้วถ้าเกิดตนแพ้การเลือกตั้ง ตนก็ต้องเป็นคนโทรหาผู้ชนะและก็ยอมแพ้ เพื่อที่จะให้การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลมันไร้รอยต่อมากที่สุด ถ้าเอาประชนชนมาเป็นที่ตั้ง” พิธา ระบุ

เมื่อถามถึงประเด็นหุ้นไอทีวีฯ โดยเฉพาะการเป็น ส.ส.เมื่อปี 2562 ยังถือหุ้นดังกล่าวอยู่หรือไม่นั้น พิธา ตอบเลี่ยงว่า “เรื่องหุ้นต้องรอฟังรายละเอียด กกต. การเป็นผู้จัดการมรดกของตนก็เริ่มตั้งแต่เมื่อศาลฯ สั่ง จนกระทั่งถึงตนโอนหุ้น” ส่วนเมื่อถามต่อไปว่า เป็นผู้จัดการอย่างเดียวหรือเป็นผู้รับโอนด้วย พิธา ตอบว่า “เป็นผู้จัดการมรดกอย่างเดียว ไม่ได้รับโอน” เมื่อถามอีกว่า กกต. มีการตั้งประเด็นนี้ไว้แล้วและอาจเป็นการเข้าข่ายรู้อยู่แล้วยังมาลงสมัครฯ มีคำชี้แจงหรือไม่ พิธา ตอบว่า “เท่าที่เห็นเมื่อวานมีข่าวออกมา แต่พออ่านข่าวพารากราฟสุดท้ายก็บอกว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอ และต้องมีการพิจารณากันอยู่ เนื้อหาที่ออกมาก็คือทาง กกต.ยังจัดการเรื่องการตั้งรูปคดีอยู่ ตรงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องตอบมากไปกว่านี้ รอความชัดเจนจาก กกต. เพราะได้อ่านจากในรายละเอียดข่าวแล้ว ไม่ได้อ่านเฉพาะพาดหัว”

เมื่อถามถึงเรื่องที่อ้างว่ามีกระบวนการฟื้นฟูไอทีวี โดยอยากให้ พิธา ระบุถึงผู้อยู่เบื้องหลัง พิธา ตอบว่า “ไม่ทราบว่าใครอยู่อยู่เบื้องหลัง แต่อย่างที่บอกว่า มีหลายท่านส่งข่าวมาที่ตน ซึ่งต้องพูดกันให้ชัด ไม่ว่าพยายามจะฟื้นคืนชีพมาด้วยเหตุผลทางธุรกิจของผู้บริหารเอง หรือพยายามจะฟื้นคืนชีพมาเพื่อเหตุผลทางการเมืองเพื่อที่จะสกัดกั้นตน ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ความน่าจะเป็นมันมีอยู่ในอนาคต เมื่อความน่าจะเป็นมีอยู่ในอนาคต ตนต้องบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต ย้ำว่า ในอดีตที่ผ่านมา ทั้งเรื่องหลักฐานต่างๆ หรือหลักกฎหมายในการตัดสิน ถ้าบริสุทธ์ยุติธรรม มีมาตรฐานเดียวกันมา ตนคิดว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่มีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล ก็คงตอบได้เท่านี้”
  
ส่วนหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ส่งผลให้ พิธา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และการตัดสินใจเลือกแคนดิเดตฯ จะมาจากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคก้าวไกล ใครเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินนั้น พิธา ตอบเรื่องนี้ว่า “อุบัติเหตุทางการเมือง เราก็อนุมานได้หลายรูปแบบ แต่เป็นสิ่งที่เราเตรียมตัวไว้หมดแล้วในทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อทำให้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดได้น้อยที่สุด” อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงกรณีหุ้นไอทีวีฯ ที่มีการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี 2562 เป็นการถือหุ้นหรือเป็นการจัดการมรดก และหากเป็นการจัดการมรดก เป็นไปตามพินัยกรรมหรือคำสั่งศาลฯ พิธา กลับตอบว่า ขอรอดูรายละเอียดจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน  

ส่วนที่มีคนตั้งขอสังเกตว่า เจ้าตัวจะเจอ 3 ด่าน คือ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี พิธา ตอบว่า ไม่ได้รู้สึกกังวล แต่ไม่ประมาททั้ง 3 ด่าน โดยมีการวางแผนทำงานและมีคีย์แมนดูแลทั้ง 3 ด่าน และยังสามารถเดินหน้าทำงานต่อไป พร้อมขอให้ประชาชนอย่ากังวลใจ ซึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน ส่วนกรณีข่าวเจ้าตัวไปค้ำประกันหนี้สินจำนวนหนึ่ง แต่ไม่แจ้ง ป.ป.ช. จะมีผลต่อคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้น พิธา ตอบว่า “เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา เพราะมีการประสานงานกับ ป.ป.ช.โดยตลอด ทั้งนี้ ยังไม่เห็นข้อมูลทั้งหมด แต่หากมีคนร้องจริง หรือมีคำถามจาก ป.ป.ช. ยินดีที่จะชี้แจง เช่นเดียวกับกรณีการถือหุ้น แต่เป็นเรื่องปกติที่มีจะเรื่องต่างๆ เพื่อมาสกัดกั้น และไม่ได้กังวลใจแต่อย่างใด”  

เมื่อถึงกรณีที่หากว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล ถูกใบแดง อาจส่งผลให้สัดส่วนการจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยน พรรคเพื่อไทยกลับมีจำนวน ส.ส.มากกว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะมีเปลี่ยนสมการหรือไม่ และยังมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่หรือไม่นั้น พิธา ตอบว่า การประกาศรับรอง ส.ส.ต้อง 475 คน หรือ 95% แต่หากจะมีการแจกใบแดง 20 คนจริง ก็ไม่มีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล หรือเปิดประชุมสภาฯ ส่วนจะถึง 20 คนจริงหรือไม่ จากการสอบถามภายใน ไม่ได้มีการร้องมาทางฝั่งนี้ น่าจะเป็นฝั่งตรงกันข้าม แต่หากมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคก้าวไกลมีความพร้อมเลือกตั้ง และอาจทำให้พรรคได้ ส.ส.มากขึ้นด้วยซ้ำไป  

อีกด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันภายในพรรคไม่ได้มีการพูดคุยถึงกระแสข่าวลือที่ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยอมวางมือทางการเมือง ทำให้ ส.ส.พรรคฯ อาจหาที่อยู่ใหม่ หรือพิจารณามาอยู่พรรคเพื่อไทย พร้อมย้ำ พรรคเพื่อไทยมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ และป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองให้มากที่สุด อีกทั้งมั่นใจว่าจะไม่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์