



พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประกอบด้วย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ , สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล , ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล และ ศุภโชติ ไชยสัจ ร่วมประชุมกับสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยมีแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ฯ ให้การต้อนรับ
พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลพร้อมทำงานกับ SME ไทยทุกคนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ SME เพราะเราถือว่า SME คือรากฐานของเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมางบประมาณ SME มีเพียง 2,700 ล้านบาท เรือดำน้ำ 30,000 ล้าน ชัดเจนมากว่าการดำเนินการของภาครัฐก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อยที่มากเพียงพอ
“สาธารณสุข เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และในขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายของทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งในเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่าดอกเบี้ย ที่ต้องเสียให้กับภาครัฐอย่างครบวงจร ทั้งนี้จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนให้กับ SME ในการขับเคลื่อน GDP ประเทศไทย” พิธา กล่าว
พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการเพียงแค่ประคับประคองให้ SME ไทยอยู่รอด แต่ต้องการทำให้ SME ไทยมีศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น มีขีดความสามารถในการแข่งขันและมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว ผ่านแนวทาง 5 ต. ประกอบด้วย
“เราได้เคยนำเสนอชุดนโยบายเหล่านี้ให้กับสมาพันธ์ SME ไปแล้วในช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยในวันนี้หลังเลือกตั้งในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรี ก็ยังขอยืนยันคำเดิม และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ขับเคลื่อนชุดนโยบายเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 ปีของการเป็นรัฐบาล” พิธากล่าว
ในขณะที่ แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวชื่นชมพิธาว่ามีความเข้าใจด้าน SME เป็นอย่างดี และแสดงความสนับสนุนต่อนโยบาย 5 ต. ของพรรคก้าวไกล พร้อมกล่าวว่าการสร้างสวัสดิการกลไกภาครัฐที่เป็นธรรม ทางสมาพันธ์เป็นกำลังใจและสนับสนุนว่าที่รัฐบาลให้ได้ขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ให้สำเร็จ โดยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าและลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสุดท้ายของการประชุม แสงชัยได้กล่าวถึงการตั้งคณะทำงานระหว่างสมาพันธ์ฯ และพรรคก้าวไกล เพื่อลงรายละเอียดทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเปิดช่องทางการทำงานระหว่างภาคเอกชนและว่าที่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องต่อไป
พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลพร้อมทำงานกับ SME ไทยทุกคนเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ SME เพราะเราถือว่า SME คือรากฐานของเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมางบประมาณ SME มีเพียง 2,700 ล้านบาท เรือดำน้ำ 30,000 ล้าน ชัดเจนมากว่าการดำเนินการของภาครัฐก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายย่อยที่มากเพียงพอ
“สาธารณสุข เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และในขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายของทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ ทั้งในเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่าดอกเบี้ย ที่ต้องเสียให้กับภาครัฐอย่างครบวงจร ทั้งนี้จะเป็นการเพิ่มสัดส่วนให้กับ SME ในการขับเคลื่อน GDP ประเทศไทย” พิธา กล่าว
พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการเพียงแค่ประคับประคองให้ SME ไทยอยู่รอด แต่ต้องการทำให้ SME ไทยมีศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น มีขีดความสามารถในการแข่งขันและมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถเติบโตอย่างเข้มแข็งในระยะยาว ผ่านแนวทาง 5 ต. ประกอบด้วย
- แต้มต่อ เช่น นโยบายหวยใบเสร็จ
- เติมทุน เช่น นโยบายทุนสร้างตัว รายละ 100,000 บาท
- ตัดต้นทุน เช่น นโยบาย SME นำค่าแรงขั้นต่ำหักภาษีได้ 2 เท่าเป็นเวลา 2 ปี
- เติมตลาด เช่น นโยบายกำหนดชั้นวางสินค้า SME ในห้างค้าปลีกสมัยใหม่
- นโยบายตั้งสภา SME ให้มีอำนาจต่อรองเทียบเท่าทุนใหญ่
“เราได้เคยนำเสนอชุดนโยบายเหล่านี้ให้กับสมาพันธ์ SME ไปแล้วในช่วงก่อนเลือกตั้ง โดยในวันนี้หลังเลือกตั้งในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรี ก็ยังขอยืนยันคำเดิม และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ขับเคลื่อนชุดนโยบายเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้จริงภายใน 4 ปีของการเป็นรัฐบาล” พิธากล่าว
ในขณะที่ แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวชื่นชมพิธาว่ามีความเข้าใจด้าน SME เป็นอย่างดี และแสดงความสนับสนุนต่อนโยบาย 5 ต. ของพรรคก้าวไกล พร้อมกล่าวว่าการสร้างสวัสดิการกลไกภาครัฐที่เป็นธรรม ทางสมาพันธ์เป็นกำลังใจและสนับสนุนว่าที่รัฐบาลให้ได้ขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ให้สำเร็จ โดยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าและลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมๆกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงสุดท้ายของการประชุม แสงชัยได้กล่าวถึงการตั้งคณะทำงานระหว่างสมาพันธ์ฯ และพรรคก้าวไกล เพื่อลงรายละเอียดทั้งข้อเสนอเชิงนโยบายอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเปิดช่องทางการทำงานระหว่างภาคเอกชนและว่าที่รัฐบาลอย่างต่อเนื่องต่อไป