กระแสข่าว ‘รัฐประหาร’ ถูกปลุกขึ้นมา กลางมรสุมวาระนายกฯ 8 ปี ที่ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังฝ่าพงหนามอยู่ หลัง ‘เสี่ยโอ๋-ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์’ รมว.ดิจิทัลฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้ข่าวว่า “ถ้าเคลื่อนไหวมากๆ ระวังจะไม่ได้เลือกตั้ง” มาพร้อมกับการผูกโยงกับ ‘โผทหาร’ ที่ถึงยุค ‘สิ้นบูรพาพยัคฆ์’ ที่เป็นสายขั้วอำนาจ ‘3ป.’ เพราะโผทหารล่าสุดเข้าสู่ยุค ‘ทหารคอแดง’ เต็มรูปแบบ วางไลน์การขึ้นคุมกำลังไปถึงปี 2570
ที่ผ่านมาตั้งแต่ยุค คสช. ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ล้วนเป็นสายบูรพาพยัคฆ์ ที่โตมาจาก พล.ร.2 รอ. คุมพื้นที่ตะวันออก หรือสายทหารเสือฯ ร.21 รอ. แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยน หลังยุค ‘บิ๊กเจี๊ยบ’ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีตผบ.ทบ. สายรบพิเศษ ที่กองทัพเข้าสู่ ‘ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ’ เป็นยุคเริ่มต้นของการมี ‘ทหารคอแดง’ ก่อนส่งต่อให้ ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่โตมาจาก ร.11 รอ. เป็นทหารสายวงศ์เทวัญ ที่เป็น ‘ทหารคอแดง’ คนแรก ที่ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. สำหรับความสัมพันธ์ระหว่าง ‘บิ๊กแดง-บิ๊กตู่’ ถือว่าแนบแน่นมาก จนได้ชื่อว่าเป็น ‘น้องรัก’ ต่างสาย
จาก ‘บิ๊กแดง’ ก็ส่งต่อให้ ‘บิ๊กบี้’ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ที่โตมาจาก ร.31 รอ. ก่อนมาโตที่ พล.1 รอ. เป็นสายวงศ์เทวัญ คนละสายกับ ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ ทำให้ ‘บิ๊กบี้’ มีระยะห่างจาก ‘บิ๊กตู่’ อีกทั้งรุ่นเตรียมทหารห่างกัน 10 รุ่น ระหว่าง ตท.12 กับ ตท.22 ซึ่งที่ผ่านมา ‘บิ๊กบี้’ ก็ไม่ค่อยออกตัวแรงปกป้องรัฐบาล แต่กลับมีกระแสข่าว ‘ปลด ผบ.ทบ.’ ลือหึ่งภายใน ทบ. ก่อนหน้านี้ แม้สุดท้ายจะไม่เกิดขึ้นจริง แต่ท่าทีของ ‘บิ๊กบี้’ กับ ‘บิ๊กตู่’ ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นว่า ‘บิ๊กบี้’ ออกตัวชม ‘บิ๊กตู่’ ชนิดไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย ช่วงหลังหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ชั่วคราว ตามที่ศาล รธน. มีคำสั่ง โดยชม ‘บิ๊กตู่’ ว่าเป็น ‘ชายชาติทหาร-สุภาพบุรุษ’ ยึดหลักประชาธิปไตย
แต่ที่ถูกโยงคือการที่ ตท.22 ขึ้นแผงอำนาจคุม 4 เหล่าทัพ ทั้ง ‘บิ๊กบี้’พล.อ.ณรงค์พันธ์ นั่ง ผบ.ทบ. อีก 1 ปี ‘บิ๊กจ๊อด’ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ว่าที่ ผบ.ทร. คนใหม่ ‘บิ๊กตุ๊ด’ พล.อ.อ.อลงกรณ์ วัณณรถ ว่าที่ ผบ.ทอ. คนใหม่ และ ‘บิ๊กเด่น’ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ว่าที่ ผบ.ตร. คนใหม่ ส่วนตำแหน่ง ผบ.ทหารสูงสุด ยังคงเป็นของรุ่นพี่ ตท.21 ‘บิ๊กแก้ว’ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ซึ่งทั้งหมดจะเกษียณฯ กันยายน 2566 พร้อมกัน
ทำให้มีการไปเทียบกับเหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2549 ยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โดย ตท. 6 นำโดย ‘บิ๊กบัง’ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ. นั่งเป็นประธาน คมช. ‘บิ๊กอุ๊’ พล.ร.อ.สถิรพันธ์ เกยานนท์ อดีต ผบ.ทร. ‘บิ๊กต๋อย’ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ.
รวมทั้งเหตุการณ์รัฐประหาร ปี 2534 นำโดย จปร.5 ภายใต้รหัส 0143 ซึ่งเป็น นายร้อย จปร. 05 , นายเรือ 01 และ นายเรืออากาศ 01หรือที่เรียกว่าสี่เหล่าสามทัพ ได้แก่ ‘บิ๊กสุ’ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีต ผบ.ทบ. ‘บิ๊กตุ๋ย’ พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต รอง ผบ.ทบ. เพื่อน จปร.5 โดย พล.อ.อิสระพงศ์ เป็นพี่ชายของ คุณหญิงวรรณี คราประยูร ภริยาของ พล.อ.สุจินดา นอกจากนี้ยังมี ‘บิ๊กเต้’ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล อดีต ผบ.ทอ. และ พล.ร.อ.ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ อดีต ผบ.ทร. ทำรัฐประหารรัฐบาล ‘น้าชาติ’ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยเชิญ ‘บิ๊กจ๊อด’ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด รุ่นพี่ จปร.1 ขึ้นเป็นหัวหน้า รสช.
อย่างไรก็ตาม ‘ปัจจัย-แบบแผน’ การทำรัฐประหาร ไม่เหมือนในอดีต เพราะโครงสร้างของ ทบ. เปลี่ยนไป ‘ขุมกำลังปฏิวัติ’ ถูกโอนออกนอก ทบ. ทั้ง ร.1 ทม.รอ. และ ร.11 ทม.รอ. ภายใต้สังกัด พล.1 รอ. มีการปรับหน่วยภายใน ทบ. ใหม่ เช่น พล.ร.2 รอ. , พล.ม.2 รอ. เป็นต้น ที่กลายเป็น ‘ทหารคอแดง’ รวมทั้งการนำ ‘รถถัง-อาวุธหนัก’ ออกจากหน่วยทหารในกรุงเทพฯ ไปยังหน่วยทหารต่างจังหวัด ทำให้การทำรัฐประหารไม่ง่ายเหมือนในอดีต ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่เริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ปี 2566 ที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น หากเกิดการเหตุการณ์ ‘พลิกขั้ว’ ขึ้นมา ในฝั่ง ‘ขั้วอำนาจเดิม’ จะสู้กลับอย่างไร
