















17 พ.ค. 66 ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม กรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดงานกิจกรรม ‘รำลึก 31 ปี พฤษภาประชาธรรม’ โดยมีตัวแทนจากภาคการเมือง และภาคประชาชน ต่างเดินทางมาร่วมพิธีกรรมอุทิศส่วนกุศล และวางพวงมาลา รำลึกถึงวีรชนผู้เสียสละในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 31 ปีที่ผ่าน
‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในวันรำลึกเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ซึ่งเริ่มต้นจากการที่พี่น้องประชาชนรวมตัวกันเรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง คัดค้านนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารนำมาสู่การสูญเสียครั้งใหญ่เหตุการณ์ผ่านมาแล้ว 31 ปีเรายังมีบทเรียน ยังไม่มีที่ไม่มีบทสรุป บทเรียน แรกคือการยอมรับกฎกติกาในระบอบประชาธิปไตยจะไม่นำมาซึ่งการสูญเสียวันนี้ ดังนั้นหากสังคมไทยสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน อันยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนอีก
บทเรียนที่สองหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 สังคมไทยเห็นกองทัพ กลับเข้าสู่ครรลอง ซึ่งประชาชนดีใจว่าจะไม่ถูกแทรกแซงโดยกองทัพ แต่ไม่ได้มีการปฏิรูปกองทัพมาถึงวันนี้ จึงเป็นบทเรียนที่มีความสำคัญ ว่า หากไม่ปฏิรูปกองทัพไม่ทำให้ทหารอยู่ภายใต้พลเรือนอย่างแท้จริง จะไม่มีข้อรับประกันว่าอนาคตจะถูกแทรกแซงทางการเมืองโดยทหารอีก
บทเรียนข้อที่สาม คือเรื่องการไม่ปล่อยให้วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด จนถึงวันนี้ยังไม่มีการส่วนไต่สวนข้อเท็จจริงและนำคนที่มีบทบาทในการทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากถูกปราบปรามบาดเจ็บล้มตายและสูญหาย มีแต่การออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่มีอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับรายงานการสืบสวนข้อเท็จจริงที่ทำโดยกองทัพ ก็ยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างแท้จริง
ขณะที่ ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะว่าที่ผู้แทนของชนชาวไทย วันนี้เป็นวันครบรอบ 31 ปีที่พวกเราทุกคนได้มายืนตรงนี้ ต่อหน้าอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรมที่ยืนตระหง่าน สิ่งที่มุ่งหวังไม่ใช่เพียงการรำลึกผู้วายชนม์ แต่ขอต้องขอบคุณญาติที่เอาความสูญเสียมาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนชัดเจนว่าความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยยังอยู่ในวังวน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากการกระทำของผู้คนในชาติ เราเพียงต้องการความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และระบบรัฐสภา เพียงแค่ใช้อำนาจปวงชนชาวไทยเพื่อปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชนรัฐเป็นของประชาชนเท่านั้น
“วันที่ 14 พฤษภาที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงข้อเรียกร้องของความเป็นประชาธิปไตยได้ถูกปลุกฝังอยู่ในจิตสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่พอสมควรอย่างน้อยได้เห็นความสำคัญประชาชนออกมาใช้อำนาจของตัวเองผ่านบัตรเลือกตั้ง ประกาศชัดว่าต้องการความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นอยู่ในรัฐราชการ หรือรัฐทหาร จึงเลือกฝ่ายเสรีประชาธิปไตยอย่างท่วมท้น สะท้อนแล้วว่าประชาชนต้องการออกจากสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ต้องการให้รัฐทหารเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง” ชลน่าน กล่าว
ขณะที่ ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวในฐานะตัวแทนพรรคการเมืองและในฐานะที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกว่า วันนั้นผู้รักและหวงแหนต่อประชาธิปไตยได้แสดงออก ยืนยันที่จะไม่รับการสืบทอดอำนาจ จึงเริ่มรวมตัวหน้ารัฐสภาเรียกร้องให้นักการเมืองออกไปร่วม ซึ่งพรรคพลังธรรมที่ตนสังกัดอยู่ในขณะนั้นได้ตัดสินใจออกไปช่วยประชาชน จึงพูดได้ว่าตนเองเข้าสภาไม่เกิน 55 วัน นอนกลางถนนร่วมกับพี่น้องประชาชน เป็นผู้ที่ได้รับฉันทามติจากพี่น้องให้เข้าไปเจรจากับหัวหน้า รษช. ที่แปลงกายเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เพื่อให้ลาออก สิ่งที่เกิดขึ้น กงล้อประวัติศาสตร์ย่ำอยู่กับที่ และลึกกว่าเดิมเหมือนกับรถที่ติดหล่ม ต้องเร่งคันเร่งเพื่อให้ล้อหลุดจากหลุม แต่สิ่งที่ได้คือหลุมยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ปัจจุบันเร็วร้ายลงกว่าเดิม
‘ชัยธวัช ตุลาธน’ เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในวันรำลึกเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม ซึ่งเริ่มต้นจากการที่พี่น้องประชาชนรวมตัวกันเรียกร้องนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง คัดค้านนายกรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารนำมาสู่การสูญเสียครั้งใหญ่เหตุการณ์ผ่านมาแล้ว 31 ปีเรายังมีบทเรียน ยังไม่มีที่ไม่มีบทสรุป บทเรียน แรกคือการยอมรับกฎกติกาในระบอบประชาธิปไตยจะไม่นำมาซึ่งการสูญเสียวันนี้ ดังนั้นหากสังคมไทยสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน อันยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย จะไม่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนอีก
บทเรียนที่สองหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 สังคมไทยเห็นกองทัพ กลับเข้าสู่ครรลอง ซึ่งประชาชนดีใจว่าจะไม่ถูกแทรกแซงโดยกองทัพ แต่ไม่ได้มีการปฏิรูปกองทัพมาถึงวันนี้ จึงเป็นบทเรียนที่มีความสำคัญ ว่า หากไม่ปฏิรูปกองทัพไม่ทำให้ทหารอยู่ภายใต้พลเรือนอย่างแท้จริง จะไม่มีข้อรับประกันว่าอนาคตจะถูกแทรกแซงทางการเมืองโดยทหารอีก
บทเรียนข้อที่สาม คือเรื่องการไม่ปล่อยให้วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด จนถึงวันนี้ยังไม่มีการส่วนไต่สวนข้อเท็จจริงและนำคนที่มีบทบาทในการทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากถูกปราบปรามบาดเจ็บล้มตายและสูญหาย มีแต่การออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่มีอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สำหรับรายงานการสืบสวนข้อเท็จจริงที่ทำโดยกองทัพ ก็ยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างแท้จริง
ขณะที่ ‘ชลน่าน ศรีแก้ว’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในฐานะว่าที่ผู้แทนของชนชาวไทย วันนี้เป็นวันครบรอบ 31 ปีที่พวกเราทุกคนได้มายืนตรงนี้ ต่อหน้าอนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรมที่ยืนตระหง่าน สิ่งที่มุ่งหวังไม่ใช่เพียงการรำลึกผู้วายชนม์ แต่ขอต้องขอบคุณญาติที่เอาความสูญเสียมาเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนชัดเจนว่าความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยยังอยู่ในวังวน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากการกระทำของผู้คนในชาติ เราเพียงต้องการความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และระบบรัฐสภา เพียงแค่ใช้อำนาจปวงชนชาวไทยเพื่อปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชนรัฐเป็นของประชาชนเท่านั้น
“วันที่ 14 พฤษภาที่ผ่านมามีปรากฏการณ์ชัดแจ้งที่บ่งบอกถึงข้อเรียกร้องของความเป็นประชาธิปไตยได้ถูกปลุกฝังอยู่ในจิตสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่พอสมควรอย่างน้อยได้เห็นความสำคัญประชาชนออกมาใช้อำนาจของตัวเองผ่านบัตรเลือกตั้ง ประกาศชัดว่าต้องการความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นอยู่ในรัฐราชการ หรือรัฐทหาร จึงเลือกฝ่ายเสรีประชาธิปไตยอย่างท่วมท้น สะท้อนแล้วว่าประชาชนต้องการออกจากสิ่งที่เป็นอยู่ไม่ต้องการให้รัฐทหารเข้ามาเกี่ยวข้องทางการเมือง” ชลน่าน กล่าว
ขณะที่ ‘สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์’ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวในฐานะตัวแทนพรรคการเมืองและในฐานะที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ตั้งแต่วันแรกว่า วันนั้นผู้รักและหวงแหนต่อประชาธิปไตยได้แสดงออก ยืนยันที่จะไม่รับการสืบทอดอำนาจ จึงเริ่มรวมตัวหน้ารัฐสภาเรียกร้องให้นักการเมืองออกไปร่วม ซึ่งพรรคพลังธรรมที่ตนสังกัดอยู่ในขณะนั้นได้ตัดสินใจออกไปช่วยประชาชน จึงพูดได้ว่าตนเองเข้าสภาไม่เกิน 55 วัน นอนกลางถนนร่วมกับพี่น้องประชาชน เป็นผู้ที่ได้รับฉันทามติจากพี่น้องให้เข้าไปเจรจากับหัวหน้า รษช. ที่แปลงกายเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เพื่อให้ลาออก สิ่งที่เกิดขึ้น กงล้อประวัติศาสตร์ย่ำอยู่กับที่ และลึกกว่าเดิมเหมือนกับรถที่ติดหล่ม ต้องเร่งคันเร่งเพื่อให้ล้อหลุดจากหลุม แต่สิ่งที่ได้คือหลุมยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ปัจจุบันเร็วร้ายลงกว่าเดิม