แรงแค้น ‘สันธนะ’ ไล่บี้ ‘ชูวิทย์’ ทุบ ‘ก้าวไกล’

28 มิ.ย. 2566 - 08:36

  • ‘สันธนะ’ แค้น ‘พิธา-ก้าวไกล’ ไม่เอาผิด ‘ชูวิทย์’ อ้างปล่อยให้คนนอก ทำร้ายตัวเองกลางพรรค ให้ถ้อยคำ กกต. เอาผิด ทำเลือกตั้งไม่สุจริต-ขัดพ.ร.ป.พรรคฯ มั่นใจ ‘พิธา’ หมดสิทธิเป็นนายกฯ เหตุสะดุดยอดหญ้าล้มเอง

Santana-Pita-Move-Forward-Party-ECT-SPACEBAR-Thumbnail
สันธนะ ประยูรรัตน์ สมาชิกพรรคก้าวไกล เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามหนังสือเชิญจากกรณีเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ยื่นร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและคณะกรรมการบริหารพรรคฯ ที่ปล่อยให้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคหรือผู้ช่วยหาเสียงของพรรค เข้ามาทำร้ายร่างกายตนเอง ขณะอยู่ในที่ทำการพรรค ทั้งที่ตนเองเป็นสมาชิกพรรค และให้ ชูวิทย์ ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงโจมตีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและขัดมาตรา 22 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 

โดย สันธนะ กล่าวว่า เมื่อจะมีการเลือกตั้งตนอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง จึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ซึ่งอย่างที่สังคมรับทราบว่าตนกับ ชูวิทย์ มีปัญหาส่วนตัวกัน แต่ก่อนการเลือกตั้งนายชูวิทย์ ได้เข้าไปที่พรรคก้าวไกลพูดคุยกับพิธา และกรรมการบริหารพรรคหลายครั้ง ซึ่งเมื่อพบเจอตนก็จะเปิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน  

โดย ชูวิทย์ พยายามที่จะเข้าทำร้ายตนและขว้างถ้วยกาแฟใส่ ซึ่งตนก็ได้ทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 ตามที่ข้อบังคับพรรคกำหนดไว้เพื่อให้มีการดำเนินการเอาผิดกับชูวิทย์ และกรรมการบริหารพรรคบางคนที่รู้เห็นนัดแนะกับชูวิทย์ ก่อนที่จะเดินทางมา แต่ปรากฏว่าทางพรรคไม่ได้ดำเนินการใดๆ ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าก่อนการเลือกตั้งชูวิทย์ มีการนัดพบกับพิธา เพื่อช่วยหาเสียงในหลายสถานที่ โดยชูวิทย์ ได้อาศัยกระแสของพรรคก้าวไกล กล่าวปราศรัยโจมตีพรรคการเมืองอื่นในเรื่องของการร่วมรัฐบาล ซึ่งตนได้มีหนังสือสอบถามมายัง กกต. และได้รับการยืนยันว่าชูวิทย์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล จึงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง 
 

ส่วนตัวเชื่อว่าพิธา ทราบดีว่าชูวิทย์ เป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค แต่กลับปล่อยปละละเลยหรือสมยอมให้ชูวิทย์ มาใช้พื้นที่ ใช้ชื่อพรรคก้าวไกลไปปราศรัยโจมตี ทำให้พรรคการเมืองอื่นเสียหาย จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ยุ่งยากเป็นความปรากฏต่อสังคมและสื่อ ดังนั้น กกต. จึงไม่ต้องไปตรวจสอบหรือรอหลักฐานอื่นๆ เหมือนกรณีพิธา ถือหุ้นไอทีวี หรือค้ำประกันหนี้ให้บริษัทครอบครัวกว่า 400 ล้านบาท ขายที่ดินมรดก 6.5 ล้าน ที่ต้องสอบสวนข้อเท็จจริงจนกว่าความจริงจะปรากฎ สันธนะ กล่าว 


สันธนะ ยังกล่าวอีกว่า ตอนที่เกิดเรื่องแรกๆและพรรคไม่ได้ดำเนินการให้ตามที่ยื่นหนังสือก็รู้สึกน้อยใจ แต่ก็จะไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และเมื่อพรรคทราบว่า กกต. เรียกตนเข้าให้ถ้อยคำในเรื่องนี้ ก็มีผู้แจ้งตนว่าในช่วงบ่ายนี้ พรรคก็จะมีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งตนไม่เชื่อว่าพรรคจะมีมติดำเนินการกับชูวิทย์ แต่จะเป็นการไล่ตนออกจากการเป็นสมาชิกพรรค 

“ถ้าพรรคก้าวไกลมองเรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน และก่อนหน้านี้มีการดำเนินการตามที่ผมได้ยื่นหนังสือ ก็คงไม่มีวันนี้ที่ผมมาให้ถ้อยคำกับ กกต. ผมเคยบอกคุณแล้วว่าอย่าเดินสะดุดยอดหญ้าหกล้มเอง คุณอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องรูเข็ม แต่หลังจากวันนี้จะเป็นหลุมอุกกาบาต คุณจะแก้ไขอย่างไร นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งของคนที่จะก้าวเป็นนายกฯของประเทศ ไม่ใช่หัวหน้าพรรคก้าวไกล คุณจะพลาดไม่ได้สักประเด็น และถ้าเรื่องนี้มีผลให้คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ขอแสดงความเสียใจกับกองเชียร์ของพรรคด้วย” สันธนะ กล่าวและว่า พรรคก้าวไกลประกาศว่าเป็นพรรคของประชาชน หากได้เป็นรัฐบาลก็จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ถามว่าตนเป็นสมาชิกพรรคเหตุเกิดในพื้นที่ของพรรคแต่พรรคกลับปกป้องไม่ได้ 

สันธนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การร้องเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการสร้างราคาให้กับตัวเอง หลังเกิดเรื่องตนไปที่พรรคตนขีดเส้นตัวเองว่าจบกันแล้วกับพรรค เมื่อก่อนเลือกตั้งคุยอะไรกับผม แต่หลังเลือกตั้งพอคิดว่าตัวเองกำอะไรไว้ในมือเหมือนอย่างทุกวันนี้ คุณคิดว่าคุณถือไพ่ดี คนอื่นเขาก็มีของดีไม่แพ้พวกคุณเดี๋ยวก็เห็นเองว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมตนถึงบอกว่า “คุณพิธา คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน”

สันธนะ กล่าวถึงกรณีที่มติพรรคเพื่อไทยเดินหน้าต่อรองขอตำแหน่งเก้าอี้ประธานสภาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งตามกำหนดแล้วจะมีการประชุมในวันนี้ แต่พรรคก้าวไกลขอเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนดจะเป็นสาเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่าวันนี้ทั้ง 2 พรรคก็แตกแล้ว โดยสิ่งที่จะเห็นในวันโหวตประธานสภา ในทางลับ นั่นคือคำตอบซึ่งมาจากวันนี้ที่เกิดจากรอยร้าวแล้ว ส่วนตัวมองว่าเขาพรรคเพื่อไทย ก็มีวุฒิภาวะมากกว่า 

ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลที่ประกาศเสนอชื่อ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นประธานสภานั้น สันธนะ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ตั้งแต่แรก เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญทั้งในรัฐสภาและระดับประเทศ จึงเกิดคำถามตามมาว่าพรรคก้าวไกลจะเล่นอะไรกับประเทศชาติ ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับ ปดิพัทธ์ ที่ถูกเสนอชื่อ แต่ได้ดูโปรไฟล์แล้ว ก็ต้องขอพูดตรงๆ ว่ามืด เพราะคนจะมาอยู่ในตำแหน่งประธานสภา หากนำเสนอใครหรือเอ่ยชื่อมาจะต้องไม่มีข้อครหาและต้องเป็นมีวุฒิภาวะ ไม่ว่าจะถูกนำเสนอมาจากพรรคไหนก็ตาม ส่วนตัวไม่ได้ดูถูกเขาแต่มองว่า ปดิพัทธ์ ยังไม่เหมาะสมนั่งบัลลังก์ประธานสภา เหมาะสมเพียงตำแหน่งเลขานุการประธานสภาเท่านั้น จึงอยากให้กลับไปทบทวนใหม่อีกครั้ง 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์