









“วันนี้ฟ้าเปิด เมฆหมอกจางหายสู่บรรยากาศประชาธิปไตย ผมประทับใจทีมเพื่อไทยที่เข้าใจ เป็นกลุ่มคนธรรมดาไม่ใช่คนที่มียศถาบรรดาศักดิ์ที่พูดกับชาวบ้านแล้วไม่เข้าใจ ซึ่งพรรคสามารถทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและมีทีมงานที่คอยสนับสนุน ซึ่งในอดีตนโยบายพรรคไทยรักไทยสมัย ‘ทักษิณ ชินวัตร’ บรรลุเป้าหมายเด่นชัด นำไปสู่การปฏิบัติได้ ไม่แลนด์สไลด์ก็เกือบแลนด์สไลด์โดยไม่ต้องมีพวกผมเลย ต้องขอขอบคุณพี่น้องสมาชิกพรรคที่ต้อนรับ โทรมาให้กำลังใจ ซึ่งผมพร้อมเดินหน้าทำงานให้พรรคอย่างเต็มที่”
เป็นคำกล่าวครั้งแรกในสีเสื้อ ‘เพื่อไทย’ หลัง ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เคยตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว พา ‘กลุ่มวังน้ำยม’ และจัดตั้ง ‘กลุ่มสามมิตร’ เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐด้วยโควตา ‘เก้าอี้รัฐมนตรี’
ซึ่งในงานแถลงข่าวเปิดตัววันนี้ สมศักดิ์ได้กล่าวขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ได้เปิดโอกาสให้กลับมาร่วมงานให้สมบูรณ์ เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน พร้อมย้ำยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ ‘ต้องทำให้ได้’ ส่วนตัวจะเข้ามาเสริมเติมเต็มเพื่อให้สำเร็จ
ในขณะที่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ร่วมงานกับพรรคตระกูลชินวัตร ตั้งแต่ยุคไทยรักไทยเฉกเช่นเดียวกันกับนายสมศักดิ์ ได้กล่าวว่าขอบคุณผู้บริหารพรรคที่ได้ให้โอกาสพวกเขากลับเข้ามาทำงานมีการในส่วนเหตุผลที่ย้ายกลับมาพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เพราะ ปีที่ผ่านมาที่มีการทำรัฐประหาร ทำโครงสร้างเศรษฐกิจพัง จนนักลงทุนไม่กล้าเข้ามา และ 4 ปีหลังพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลแต่เสียงไม่มากพอ ทำให้กระทรวงด้านเศรษฐกิจไปอยู่ในมือพรรคอื่น ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนตัวมีโอกาสไปพบกับประธานหอการค้า พบว่าช่วงหลังทุกคนบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย
“เพื่อนฝูงของผมทุกคนไม่มีใครเชียร์ให้อยู่พลังประชารัฐต่อเลย ดังนั้นผมเชื่อว่าจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ทำไป จะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์แน่นอน และเชื่อว่าจากโพลที่ออกมาประชาชนต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าว
เมื่อถามว่าจากนี้จะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกหรือไม่ ‘สมศักดิ์’ ในฐานะแกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวว่า จะไม่เปลี่ยนขั้วแน่นอน จะตั้งใจทำงานเต็มที่เพื่อให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ยืนยันว่าพรรคพท.มีพื้นที่ใหม่ๆ ที่ให้ผู้แทนเข้ามาได้ เพราะมีฐานคะแนนความนิยมที่ผู้บริหารพรรคได้ทำ การจะสร้าง ส.ส.คนใหม่ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีผู้แทนนั้น เชื่อว่ามีสิทธิได้ผู้แทนสูง
เมื่อถามว่านายสมศักดิ์และนายสุริยะจะเข้ามาช่วยงานส่วนไหนของพรรค พท. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้พรรควางตำแหน่งให้ตนลอยตัว สามารถเคลื่อนตัวไปได้ทุกที่ ตนมีสมัครพรรคพวกคอยรับฟังแนวนโยบาย และจะได้ไปลงพื้นที่ทำความเข้าใจนโยบายกับประชาชนให้มากที่สุด เท่าที่กำลังและเวลาจะทำได้
เป็นคำกล่าวครั้งแรกในสีเสื้อ ‘เพื่อไทย’ หลัง ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เคยตัดสินใจเปลี่ยนขั้ว พา ‘กลุ่มวังน้ำยม’ และจัดตั้ง ‘กลุ่มสามมิตร’ เข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐด้วยโควตา ‘เก้าอี้รัฐมนตรี’
ซึ่งในงานแถลงข่าวเปิดตัววันนี้ สมศักดิ์ได้กล่าวขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ได้เปิดโอกาสให้กลับมาร่วมงานให้สมบูรณ์ เป็นที่พึ่งให้กับประชาชน พร้อมย้ำยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ ‘ต้องทำให้ได้’ ส่วนตัวจะเข้ามาเสริมเติมเต็มเพื่อให้สำเร็จ
ในขณะที่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ร่วมงานกับพรรคตระกูลชินวัตร ตั้งแต่ยุคไทยรักไทยเฉกเช่นเดียวกันกับนายสมศักดิ์ ได้กล่าวว่าขอบคุณผู้บริหารพรรคที่ได้ให้โอกาสพวกเขากลับเข้ามาทำงานมีการในส่วนเหตุผลที่ย้ายกลับมาพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ เพราะ ปีที่ผ่านมาที่มีการทำรัฐประหาร ทำโครงสร้างเศรษฐกิจพัง จนนักลงทุนไม่กล้าเข้ามา และ 4 ปีหลังพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาลแต่เสียงไม่มากพอ ทำให้กระทรวงด้านเศรษฐกิจไปอยู่ในมือพรรคอื่น ทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ส่วนตัวมีโอกาสไปพบกับประธานหอการค้า พบว่าช่วงหลังทุกคนบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เลย
“เพื่อนฝูงของผมทุกคนไม่มีใครเชียร์ให้อยู่พลังประชารัฐต่อเลย ดังนั้นผมเชื่อว่าจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ทำไป จะชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์แน่นอน และเชื่อว่าจากโพลที่ออกมาประชาชนต้องการให้พรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าว
เมื่อถามว่าจากนี้จะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกหรือไม่ ‘สมศักดิ์’ ในฐานะแกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวว่า จะไม่เปลี่ยนขั้วแน่นอน จะตั้งใจทำงานเต็มที่เพื่อให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ยืนยันว่าพรรคพท.มีพื้นที่ใหม่ๆ ที่ให้ผู้แทนเข้ามาได้ เพราะมีฐานคะแนนความนิยมที่ผู้บริหารพรรคได้ทำ การจะสร้าง ส.ส.คนใหม่ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีผู้แทนนั้น เชื่อว่ามีสิทธิได้ผู้แทนสูง
เมื่อถามว่านายสมศักดิ์และนายสุริยะจะเข้ามาช่วยงานส่วนไหนของพรรค พท. นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้พรรควางตำแหน่งให้ตนลอยตัว สามารถเคลื่อนตัวไปได้ทุกที่ ตนมีสมัครพรรคพวกคอยรับฟังแนวนโยบาย และจะได้ไปลงพื้นที่ทำความเข้าใจนโยบายกับประชาชนให้มากที่สุด เท่าที่กำลังและเวลาจะทำได้