ชะตากรรม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เปรียบยืนอยู่บนเส้นด้าย ในการชิงนั่งเก้าอี้นายกฯ แต่จากหนทางเต็มไปด้วยอุปสรรค จากเดิมดูเหมือนจะ ‘ม้วนเดียวจบ’ ตีคู่การได้ ‘กลับไทย’ ของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ แต่ทุกอย่างต้อง ‘เลื่อน’ ออกไปหมด ยิ่งทำให้โอกาสได้เป็นนายกฯ ของ ‘เศรษฐา’ ลดลงไปด้วย หลังจาก ‘เพื่อไทย’ ขับ ‘ก้าวไกล’ ไปเป็นฝ่ายค้าน ก็รีบเดินเกมตั้งรัฐบาล
ในช่วงแรกดูเหมือน ‘พรรคอื่น’ จะต้องวิ่งหา แต่กลับกลายเป็นว่า ‘พรรคอื่น-ขั้วลุง’ กลับเดินเกมต่อรองอำนาจขึ้นมา แม้ ‘เพื่อไทย’ จะไปจับมือ ‘ภูมิใจไทย’ เพิ่มเสียงขึ้นมาเป็น 212 เสียง เพื่อใช้เป็น ‘สารตั้งต้น’ ในการไปคุยกับพรรคอื่น แต่เมื่อไปรวมพรรคกลาง-เล็กอื่นๆ ก็พบว่า ‘เสียงยังไม่พอ’ หนีไม่พ้นจับมือ ‘พรรคสองลุง’
ท่าทีของ ‘เพื่อไทย’ เกิดสองสภาวะขึ้น ทั้งต้อง ‘กลืนเลือด’ พร้อมกับ ‘กลืนน้ำลาย’ ไปพร้อมกัน การจะจับมือพรรคสองลุงเป็นไปอย่าง ‘สงวนท่าที’ อย่างมาก เพราะก่อนการเลือกตั้งทั้ง ‘เศรษฐา’ กับ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ พูดไว้ชัดเจนว่าปิดสวิตช์ สว. และ ปิดสวิตช์ 3ป. แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาจับมือ 2 ลุง โดยอ้างเหตุที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถ ‘แลนด์สไลด์’ ได้ ในซีกฝั่งมวลชน ‘คนเสื้อแดง’ เสียงแตกเป็น 2 ฝ่ายทันที ทั้งยอมรับได้ แต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล และที่รับไม่ได้เพราะมองว่าเป็นการไปเป็น ‘นั่งร้าน’ ให้กับขั้วอำนาจเดิม
ทำให้ ‘เศรษฐา’ ต้องกรำศึกหนักกับคำพูดตัวเองในอดีต ไม่นับรวมจุดยื่นเรื่อง ม.112 ที่ก่อนหน้านี้ ‘เศรษฐา’ เคยพูดช่วงหาเสียงในการไปออกรายการว่า ‘แก้ไข’ แต่เมื่อจะจัดตั้งรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ ต้องกลับคำพูด ‘ไม่แก้-ไม่ยกเลิก’ เพื่อหวังดึงเสียง ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ ที่ผนึกกำลังจุดยืนชัดเจนว่าไม่แตะ ม.112 มาตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง
ตามมาด้วยการเผชิญหน้ากับ ‘ชูวิทย์ นักแฉ’ ที่เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมี ‘ข้อมูล’ มาแฉกันเอง แต่ดูเหมือนจะยิ่งเป็นการ ‘ราดน้ำมันเข้ากองเพลิง’ ภายหลังจากที่ ‘แสนสิริ’ ออกมาชี้แจง และกรณีที่ ‘เศรษฐา’ ให้ ‘ทนายวิญญัติ’ ฟ้อง ‘ชูวิทย์’ ฐานหมิ่นประมาท รวมทั้งการปรากฏกายของ ‘พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์’ ออกมาแฉ ‘ชูวิทย์’ ว่าการออกมาแฉครั้งนี้ ‘เพื่อชาติ หรือ เพื่อใคร’
งานนี้ยิ่งทำให้ ‘ชูวิทย์’ เลือดขึ้นหน้า ยิ่งขยายผลข้อมูล เท่ากับยิ่งขยาย ‘แผลทางการเมือง’ ให้กับ ‘เศรษฐา’ มากขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ‘เศรษฐา’ ถูกมองว่าเดินสะดุดขาตัวเอง นอกจากนี้ ‘ชูวิทย์’ ยังเดินสายร้องเรียนผ่านหน่วยงานต่างๆ ให้ตรวจสอบ หนึ่งในนั้นคือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่มารับเรื่องไว้ตรวจสอบ การเปิดหน้ารับเรื่องของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ราวกับ ‘รู้ทางลม’ จึงถูกจับตาทันที เพราะยิ่งใกล้ช่วงชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 14 ด้วย
แถมงานนี้ดีล ‘เพื่อไทย’ กับ ‘รวมไทยสร้างชาติ - พลังประชารัฐ’ เต็มไปด้วยเงื่อนไข-ความอึมครึม หลังแบ่งเก้าอี้ ‘รัฐมนตรี’ ไม่ลงตัว แถม ‘เพื่อไทย’ ก็มีปัญหาภายในที่แก้ไม่ตก มีการวัดพลังในแต่ละ ‘ก๊กมุ้ง-ขั้วอำนาจ’ ที่สำคัญอย่าลืมว่าการได้เสียงจาก รทสช. กับ พปชร. ก็เท่ากับได้เสียง สว. ไปด้วย
ในขณะนี้ สว. ที่อยู่สาย ‘บ้านจันทร์โอชา’ มีอยู่ราวหลักร้อยคน ส่วน สว. ที่อยู่สาย ‘บ้านป่ารอยต่อ’ มาราว 50-60 คน ดังนั้นพรรคใดที่จะนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องเอาพรรค 2 ลุงไปด้วย ซึ่งท่าทีของ สว. ก็เริ่มชัดเจนว่าไม่โหวตให้ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ โดยอ้างเรื่อง ‘คุณสมบัติ-จริยธรรม’
รวมทั้งการเคลียร์เก้าอี้ ‘รัฐมนตรี’ ที่ยังไม่ลงตัวระหว่าง ‘เพื่อไทย-พรรคสองลุง’ แม้ว่า รทสช. จะย้ำว่าจับมือ ‘เพื่อไทย’ ร่วม พปชร. กลับมีแต่ ‘ความเงียบ’ เกิดขึ้น
จนมีกระแสข่าวตีคู่มาว่าจะมีการ ‘เปลี่ยนตัว’ แคนดิเดตนายกฯ จาก ‘เศรษฐา’ เป็น ‘แพทองธาร’ หรือไม่?
ในสถานการณ์เช่นนี้ ‘เศรษฐา’ ส่อแววไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯ เมื่อมองไปถึง ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร’ คนที่ ‘ทักษิณ’ ไว้ใจที่สุด แต่งานนี้ ‘คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ จะยอมให้ ‘ลูกสาว’ ต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองหรือไม่?
ทว่างานนี้มี ‘สัญญาณ’ ว่าถ้าเป็นชื่อ ‘แพทองธาร’ จะได้รับไฟเขียว รวมทั้งเรื่อง ‘ทักษิณ’ จะกลับไทยด้วย ให้กลับมาภายในเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งชื่อ ‘แพทองธาร’ ถูกยกขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อเป็น ‘ตัวประกันทางการเมือง’ เพื่อป้องกันและล็อกคอไม่ให้ ‘ทักษิณ’ ออกอาการตุกติก เพราะไม่เช่นนั้น ชะตากรรมของ ‘แพทองธาร’ ก็จะจบไม่สวยเช่นกัน
เว้นแต่สถานการณ์ถูกผลัก ‘ลากเกมยาว’ หาก ‘เพื่อไทย’ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องส่งต่อไปยัง ‘ภูมิใจไทย’ หากดูท่าที ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ที่ยึดหลัก ‘สุขนิยม’ ก็คงไม่รับตำแหน่งนายกฯ และ ภท. ก็ไม่อยากโดน ‘รุมกินโต๊ะ’ อาจส่งไม้ต่อไปยัง ‘พลังประชารัฐ’ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชิงนายกฯ ที่มี ‘ต้นทุนสูง’ เช่นกัน โดยเฉพาะ ‘กระแสสังคม’ ที่จะแสดงพลังออกมา ซีกขั้วบ้านป่ารอยต่อ จะแบกรับได้หรือไม่?
ทำให้ในเวลานี้จึงยังอยู่ที่ชื่อ ‘แพทองธาร’ ยังไปไม่ถึงชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ เว้นแต่จะพลิกอีกรอบ!
ในช่วงแรกดูเหมือน ‘พรรคอื่น’ จะต้องวิ่งหา แต่กลับกลายเป็นว่า ‘พรรคอื่น-ขั้วลุง’ กลับเดินเกมต่อรองอำนาจขึ้นมา แม้ ‘เพื่อไทย’ จะไปจับมือ ‘ภูมิใจไทย’ เพิ่มเสียงขึ้นมาเป็น 212 เสียง เพื่อใช้เป็น ‘สารตั้งต้น’ ในการไปคุยกับพรรคอื่น แต่เมื่อไปรวมพรรคกลาง-เล็กอื่นๆ ก็พบว่า ‘เสียงยังไม่พอ’ หนีไม่พ้นจับมือ ‘พรรคสองลุง’
ท่าทีของ ‘เพื่อไทย’ เกิดสองสภาวะขึ้น ทั้งต้อง ‘กลืนเลือด’ พร้อมกับ ‘กลืนน้ำลาย’ ไปพร้อมกัน การจะจับมือพรรคสองลุงเป็นไปอย่าง ‘สงวนท่าที’ อย่างมาก เพราะก่อนการเลือกตั้งทั้ง ‘เศรษฐา’ กับ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ พูดไว้ชัดเจนว่าปิดสวิตช์ สว. และ ปิดสวิตช์ 3ป. แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมาจับมือ 2 ลุง โดยอ้างเหตุที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถ ‘แลนด์สไลด์’ ได้ ในซีกฝั่งมวลชน ‘คนเสื้อแดง’ เสียงแตกเป็น 2 ฝ่ายทันที ทั้งยอมรับได้ แต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล และที่รับไม่ได้เพราะมองว่าเป็นการไปเป็น ‘นั่งร้าน’ ให้กับขั้วอำนาจเดิม
ทำให้ ‘เศรษฐา’ ต้องกรำศึกหนักกับคำพูดตัวเองในอดีต ไม่นับรวมจุดยื่นเรื่อง ม.112 ที่ก่อนหน้านี้ ‘เศรษฐา’ เคยพูดช่วงหาเสียงในการไปออกรายการว่า ‘แก้ไข’ แต่เมื่อจะจัดตั้งรัฐบาล ‘เพื่อไทย’ ต้องกลับคำพูด ‘ไม่แก้-ไม่ยกเลิก’ เพื่อหวังดึงเสียง ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ ที่ผนึกกำลังจุดยืนชัดเจนว่าไม่แตะ ม.112 มาตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง
ตามมาด้วยการเผชิญหน้ากับ ‘ชูวิทย์ นักแฉ’ ที่เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมี ‘ข้อมูล’ มาแฉกันเอง แต่ดูเหมือนจะยิ่งเป็นการ ‘ราดน้ำมันเข้ากองเพลิง’ ภายหลังจากที่ ‘แสนสิริ’ ออกมาชี้แจง และกรณีที่ ‘เศรษฐา’ ให้ ‘ทนายวิญญัติ’ ฟ้อง ‘ชูวิทย์’ ฐานหมิ่นประมาท รวมทั้งการปรากฏกายของ ‘พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์’ ออกมาแฉ ‘ชูวิทย์’ ว่าการออกมาแฉครั้งนี้ ‘เพื่อชาติ หรือ เพื่อใคร’
งานนี้ยิ่งทำให้ ‘ชูวิทย์’ เลือดขึ้นหน้า ยิ่งขยายผลข้อมูล เท่ากับยิ่งขยาย ‘แผลทางการเมือง’ ให้กับ ‘เศรษฐา’ มากขึ้นด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ‘เศรษฐา’ ถูกมองว่าเดินสะดุดขาตัวเอง นอกจากนี้ ‘ชูวิทย์’ ยังเดินสายร้องเรียนผ่านหน่วยงานต่างๆ ให้ตรวจสอบ หนึ่งในนั้นคือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ที่มารับเรื่องไว้ตรวจสอบ การเปิดหน้ารับเรื่องของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ราวกับ ‘รู้ทางลม’ จึงถูกจับตาทันที เพราะยิ่งใกล้ช่วงชิงเก้าอี้ ผบ.ตร. คนที่ 14 ด้วย
แถมงานนี้ดีล ‘เพื่อไทย’ กับ ‘รวมไทยสร้างชาติ - พลังประชารัฐ’ เต็มไปด้วยเงื่อนไข-ความอึมครึม หลังแบ่งเก้าอี้ ‘รัฐมนตรี’ ไม่ลงตัว แถม ‘เพื่อไทย’ ก็มีปัญหาภายในที่แก้ไม่ตก มีการวัดพลังในแต่ละ ‘ก๊กมุ้ง-ขั้วอำนาจ’ ที่สำคัญอย่าลืมว่าการได้เสียงจาก รทสช. กับ พปชร. ก็เท่ากับได้เสียง สว. ไปด้วย
ในขณะนี้ สว. ที่อยู่สาย ‘บ้านจันทร์โอชา’ มีอยู่ราวหลักร้อยคน ส่วน สว. ที่อยู่สาย ‘บ้านป่ารอยต่อ’ มาราว 50-60 คน ดังนั้นพรรคใดที่จะนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องเอาพรรค 2 ลุงไปด้วย ซึ่งท่าทีของ สว. ก็เริ่มชัดเจนว่าไม่โหวตให้ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ โดยอ้างเรื่อง ‘คุณสมบัติ-จริยธรรม’
รวมทั้งการเคลียร์เก้าอี้ ‘รัฐมนตรี’ ที่ยังไม่ลงตัวระหว่าง ‘เพื่อไทย-พรรคสองลุง’ แม้ว่า รทสช. จะย้ำว่าจับมือ ‘เพื่อไทย’ ร่วม พปชร. กลับมีแต่ ‘ความเงียบ’ เกิดขึ้น
จนมีกระแสข่าวตีคู่มาว่าจะมีการ ‘เปลี่ยนตัว’ แคนดิเดตนายกฯ จาก ‘เศรษฐา’ เป็น ‘แพทองธาร’ หรือไม่?
ในสถานการณ์เช่นนี้ ‘เศรษฐา’ ส่อแววไปไม่ถึงเก้าอี้นายกฯ เมื่อมองไปถึง ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร’ คนที่ ‘ทักษิณ’ ไว้ใจที่สุด แต่งานนี้ ‘คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์’ จะยอมให้ ‘ลูกสาว’ ต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองหรือไม่?
ทว่างานนี้มี ‘สัญญาณ’ ว่าถ้าเป็นชื่อ ‘แพทองธาร’ จะได้รับไฟเขียว รวมทั้งเรื่อง ‘ทักษิณ’ จะกลับไทยด้วย ให้กลับมาภายในเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งชื่อ ‘แพทองธาร’ ถูกยกขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อเป็น ‘ตัวประกันทางการเมือง’ เพื่อป้องกันและล็อกคอไม่ให้ ‘ทักษิณ’ ออกอาการตุกติก เพราะไม่เช่นนั้น ชะตากรรมของ ‘แพทองธาร’ ก็จะจบไม่สวยเช่นกัน
เว้นแต่สถานการณ์ถูกผลัก ‘ลากเกมยาว’ หาก ‘เพื่อไทย’ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องส่งต่อไปยัง ‘ภูมิใจไทย’ หากดูท่าที ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ที่ยึดหลัก ‘สุขนิยม’ ก็คงไม่รับตำแหน่งนายกฯ และ ภท. ก็ไม่อยากโดน ‘รุมกินโต๊ะ’ อาจส่งไม้ต่อไปยัง ‘พลังประชารัฐ’ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ชิงนายกฯ ที่มี ‘ต้นทุนสูง’ เช่นกัน โดยเฉพาะ ‘กระแสสังคม’ ที่จะแสดงพลังออกมา ซีกขั้วบ้านป่ารอยต่อ จะแบกรับได้หรือไม่?
ทำให้ในเวลานี้จึงยังอยู่ที่ชื่อ ‘แพทองธาร’ ยังไปไม่ถึงชื่อ ‘บิ๊กป้อม’ เว้นแต่จะพลิกอีกรอบ!