สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะทีมเศรษฐกิจพรรครวมไทยสร้างชาติ ยอมรับกับผู้สื่อข่าวถึงความเป็นไปได้ในการลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ตามกติกาของพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะตนลงมาตรงนี้แล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ ที่สุด ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจของตนนั้น จะไม่เน้นที่การให้แบบเหวี่ยงแห แต่เป็นการมุ่งเป้าและส่งเสริมการดำเนินการต่างๆ จะมีอะไรใหม่ๆ ที่เป็นความร่วมมือกับประชาชนและทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐบาลอย่างเดียว
“เราใช้หลักที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด-19 มาได้อย่างไร เราจะใช้หลักนั้น เพราะเราเชื่อว่าหลักนั้น เป็นความสำเร็จที่ดี ทุกอย่างต้องร่วมมือด้วยกัน” สุพัฒนพงษ์ ระบุ
ส่วนกรณีที่หลายพรรคการเมือง ออกนโยบายเรื่องตัวเลขมาเกทับกันนั้น สุพัฒนพงษ์ ระบุว่า ขอให้รอดูของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะมุ่งเป้าสำหรับคนที่จำเป็น
“มีที่ไหนบ้างในอดีต ที่ช่วยเหลือแต่ละกลุ่มอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนเหวี่ยงแหแจกทุกคน แต่ในยามวิกฤต ยามเดือดร้อน เราใช้เงินเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหมือนเบาะรองรับเมื่อตกตึกสองชั้น ซึ่งเขาพออยู่ได้ มีโอกาสดำรงชีวิตได้ในระดับหนึ่ง คนที่ระดับสูงกว่านั้น ก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนชอปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้น อย่างนี้ไม่เคยมี” สุพัฒนพงษ์ ระบุ
ส่วนเมื่อถามว่าจะทำโครงการคนละครึ่ง ต่อไปหรือไม่ สุพัฒนพงษ์ ก็ระบุว่า “ทำต่ออยู่แล้ว ถือว่าเป็นนโยบายของพรรคเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งครั้งนี้ จะต่างจากช่วงวิกฤติ แต่เราจะเน้นผู้ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ที่ถือแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ รอบหน้าเราเพิ่มเรื่องถุงเงินที่เน้นเอสเอ็มอี เน้นคนตัวเล็ก ซึ่งในถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งมีผู้มีสิทธิ์ 1 ล้านราย เราอยากให้มีมากขึ้นถึง 5 ล้านราย”
“เราใช้หลักที่เราฟันฝ่าอุปสรรคโควิด-19 มาได้อย่างไร เราจะใช้หลักนั้น เพราะเราเชื่อว่าหลักนั้น เป็นความสำเร็จที่ดี ทุกอย่างต้องร่วมมือด้วยกัน” สุพัฒนพงษ์ ระบุ
ส่วนกรณีที่หลายพรรคการเมือง ออกนโยบายเรื่องตัวเลขมาเกทับกันนั้น สุพัฒนพงษ์ ระบุว่า ขอให้รอดูของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะมุ่งเป้าสำหรับคนที่จำเป็น
“มีที่ไหนบ้างในอดีต ที่ช่วยเหลือแต่ละกลุ่มอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนเหวี่ยงแหแจกทุกคน แต่ในยามวิกฤต ยามเดือดร้อน เราใช้เงินเหมาะสม คนล่างสุดรับเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เหมือนเบาะรองรับเมื่อตกตึกสองชั้น ซึ่งเขาพออยู่ได้ มีโอกาสดำรงชีวิตได้ในระดับหนึ่ง คนที่ระดับสูงกว่านั้น ก็เป็นโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องไปช่วยคนตัวเล็กอีกทีหนึ่ง ส่วนชอปดีมีคืน ก็เป็นคนมีฐานะก็ไปช่วยกันใช้เงิน การแบ่งเป็น 3 ชั้น อย่างนี้ไม่เคยมี” สุพัฒนพงษ์ ระบุ
ส่วนเมื่อถามว่าจะทำโครงการคนละครึ่ง ต่อไปหรือไม่ สุพัฒนพงษ์ ก็ระบุว่า “ทำต่ออยู่แล้ว ถือว่าเป็นนโยบายของพรรคเลย ก็มันเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งครั้งนี้ จะต่างจากช่วงวิกฤติ แต่เราจะเน้นผู้ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ที่ถือแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ รอบหน้าเราเพิ่มเรื่องถุงเงินที่เน้นเอสเอ็มอี เน้นคนตัวเล็ก ซึ่งในถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งมีผู้มีสิทธิ์ 1 ล้านราย เราอยากให้มีมากขึ้นถึง 5 ล้านราย”